อ่านช่าบ่น: "เกม" "รีวิว" "ความชอบ" และ "คุณ"


หลายๆ คนอาจจะทราบกันแล้วว่าแอคเค้าท์ของช่า (@kindest_natlala) ส่วนใหญ่จะพูดถึงเพลงและวงการดนตรี แถมได้เขียนรีวิวอัลบั้มเพลงในเว็ปไซต์ AOTY (เว็บรีวิวอัลบั้มสุดฮอตในยุคนี้) มากกว่า 1,000 รีวิว มีเขียนดีบ้าง เขียนเกรียนๆ บ้าง
ในฐานะคนที่สนใจการรีวิวเกมและเพลง ได้เขียนบทความเกี่ยวกับมีเดียทั้งสองรูปแบบ และในฐานะคนที่เสพรีวิวของคนอื่นๆ มาตลอดหลายปี ช่าก็เข้าใจได้ถึงสัจธรรมที่แท้ทรูอย่างหนึ่งว่า คะแนนรีวิวมันไม่มีความหมายอะไร ต่างคนก็ต่างมีมาตรการและสไตล์การให้คะแนนไม่เหมือนกัน เพราะว่าการที่เราจะชอบเกมสักเกม มันก็เหมือนสิ่งอื่นๆ บนโลกนี้ที่มันมีเส้นบางๆ กั้นระหว่าง “ของที่ดี” กับ “ของที่ชอบ”
“ของที่ดี” มันเป็นการที่เราจะพยายามมองทุกอย่างผ่านเลนส์ “ภววิสัย” (Objective) พยายามดูที่ fact และสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่ว่ากราฟฟิคที่ตระการตา performance ที่ลื่นไหล เกมที่ไร้บัค ราคาที่เหมาะสม ความยาวที่ไม่สั้นเกินไปและไม่ยาวเกินไป ซึ่งเอาจริงๆ แล้วมันก็วัดกันยาก ด้วยสแตนดาร์ดที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ กับเกมและเทคโนโลยีที่ยกระดับในทุกๆ วัน พอมานั่งคิดก็อดขำไม่ได้ว่าเราเคยแฮปปี้มากๆ กับการที่เล่นเกมได้กับจอ 720p และ 30fps ที่คงที่ แต่ในวันนี้สิ่งนั้นมันถือว่าเป็นอะไรที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้แล้ว

แต่ “ของที่ชอบ” หรือความ “อัตวิสัย” (Subjective) มันเป็นสิ่งที่สำคัญต่อตัวตน (อัตตา) ของพวกเรา มันคือสิ่งที่มันโดนเส้นเรา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่ทำให้เราร้องไห้ เกมเพลย์ที่ทำให้เราต้องเปิดเกมหมาทุกวี่ทุกวัน หรือโมเม้นต์ต่างๆ ที่ทำให้เรายิ้มจนลืมบัคในเกมหรือ FPS ที่มันตกได้ตลอดเวลา

สิ่งสำคัญที่สุดคือไอ้เรื่อง “ของที่ดี” กับ “ของที่ชอบ” ที่พูดถึงข้างต้น สองสิ่งนี้เอาจริงๆ มันเป็นอะไรที่นักรีวิวไม่ว่าจะมือฉมังหรือผู้เล่นทางบ้านอย่างเราๆ จะไม่มีวันแยกมันออกจากกันได้
ขยายสักนิส
เรื่อง objectivity เกมๆ หนึ่งอาจมีบัคที่ทำให้เราแทบจะเล่นไม่ได้ แต่ตัวเนื้อเรื่องที่มันทัชใจหรือไอเดียเกมเพลย์ที่มันตอบโจทย์เราจังๆ ก็ทำให้เกมอย่าง Cyberpunk 2077 ยุค 1.0 ยังได้คะแนน 9+ จากหลายๆ คน
มันก็เท่ากับว่าคนเรามันแทบอ้างเรื่อง objectivity ไม่ได้ เพราะเวลาเราทำอะไรก็ตามแต่ อัตตาของพวกเราเป็นสิ่งที่บอกเราว่าอะไรมันดีและไม่ดี กรอบ subjectivity มันจะตีให้ความคิดเราไปทิศทางหนึ่ง หลังจากความชอบส่วนตัวมันทำงานแล้ว

พวกเราจะเอาความ objectivity มาเสริม (ลองสังเกตกันดู) ถ้าเราไม่ชอบแล้วเกมมันบัคเยอะ เราก็จะเอาบัคมากดเกมนี้ แต่ถ้าเราชอบ ต่อให้เกมมันจะเล่นกระตุกขนาดไหน เราก็จะมองมันว่าเป็นแค่ข้อเสีย “เล็กๆ” กับเกมที่ดีมากๆ
อย่างปีนี้ที่ Borderlands 4 ซื้อใจผู้เล่นได้หลายๆ คน ก็มีบัค Inventory ที่ทำให้คนพลาดขายปืนดีๆ ไปหลายกระบอก และปัญหา performance ที่มาจาก Unreal Engine 5 (นรกแตกแท้ๆ เอนจิ้นนี้) ที่ทำเอาผู้เล่นหลายคนต้องปิดเกมทุกๆ 2 ชั่วโมงเพื่อให้เกมกลับมาลื่น จนทำให้เวอร์ชั่น Switch 2 ของเกมนี้ต้องโดนเลื่อนไปอย่างไร้กำหนดการอีกด้วย

แต่ด้วยอัตวิสัยของผู้เล่นจำนวนมากที่ชอบ Borderlands หรือ looter shooter เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็สามารถทนกับปัญหาเหล่านี้จนเล่นจบได้ ด้วยความที่หลายๆ คนคิดว่านี้คือเนื้อเรื่อง Borderlands ที่ดีที่สุดเท่าที่มีมา และการเขียนมุกตลกที่ไม่เกิดไปในโมเม้นท์ที่ควรจะตึงเครียด กับ gunplay (เกมเพลย์แบบยิง) ที่คมมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกภาค ก็ทำให้ไม่แปลกใจว่าในสายตาผู้เล่นจำนวนไม่น้อยนี้ ยกให้เป็น Borderlands ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ตัวอย่างแบบรูปธรรม
งั้นเรามาลองดูตัวอย่างรีวิวเวอร์มือฉมังสองท่านอย่าง Stephanie Sterling จาก The Jimquisition ยัน Mortismal Gaming ที่มีธงในการรีวิวไม่เหมือนกันและยังมีสแตนดาร์ดที่ไม่คงที่ด้วยความไบแอส (ซึ่งก็เป็นกันทุกคน)
กรณี Stephanie Sterling เธอเป็นคนที่ชัดเจนมากในความเห็นที่ไม่ชอบ microtransaction (ระบบการจ่ายเงินจริงเพื่อซื้อของ) ในเกม และการปล่อยเกมมาในเวลาที่ไม่พร้อม เกมไหนบัคเยอะหรือมีระบบซื้อของ แกก็พร้อมจะด่าทั้งผู้ผลิตและเกมอย่างไม่ปราณี ถึงแม้ว่าองประกอบอื่นมันจะดีแค่ไหน จนถึงขั้นที่แกเลิกรีวิววีดีโอเกมไปพักใหญ่เพราะว่าเหนื่อยที่จะต้องพูดถึง microtransaction ทั้งหลาย มีการให้คะแนนอย่างชัดเจนเต็ม 10 ซึ่งบางครั้งแม่นางก็เหมือนจะหลงลืมว่าให้อะไรมากกว่าเกมไหน เพราะเวลาเป็นเห็นลิส Top 10 Game of the Year บางครั้งเกมที่คะแนนต่ำกว่า ก็ดันมาแซงเกมอื่นๆ ซะด้วย

ด้วยความเฟียสก็ทำให้เกิดปัญหาในหลายครั้ง อย่างกรณีที่แม่ Steph ให้ Hellblade: Senua's Sacrifice 1/10 คะแนน ด้วยความที่โมโหเพราะเจอบัคลบ save file ตัวเอง จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างกับการให้คะแนนในครั้งนี้ ด้วยความที่ game-breaking bug (บัคที่ทำให้ตัวเกมพัง) อย่างนี้มันเป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากอย่างมาก ทำให้หลายๆ คนรู้สึกว่าเป็นการรีวิวที่ไม่แฟร์นัก จนเจ้าตัวก็ต้องออกมายอมรับถึงความเดือดเกินเบอร์และให้คะแนนเกมใหม่ในที่สุด หลังจากที่เล่นจบอีกรอบด้วยอารมณ์ที่เย็นลง

ส่วนตัว Mortismal Gaming หรือที่แฟนๆ ชอบเรียกเค้าว่า “ผู้ชายที่มีเวลาไม่จำกัด” (แม่งหาเวลาเล่นจากไหนเนี่ย) ที่สายเล่นเกม RPG จะรู้จักกันดี กับการเล่น 100% ก่อนรีวิวทุกเกม เค้าเป็นคนที่ถ้ารู้ตัวว่ายังไงก็ไม่ชอบก็จะไม่เล่น และไม่ได้ซีเรียสมากเวลาเกมมี microtransaction ต่างๆ ทำให้รีวิวหลายๆ เกมของแกค่อนข้างที่จะเป็นในแง่บวกเพราะว่ามีการกรองมาก่อนหน้าอยู่แล้ว แถมถ้าอะไรไม่โดนเส้นจริงจังก็จะโพสแจ้งในช่อง YouTube ว่าดรอปไปแล้วอีกด้วย ทำให้แกรู้สึกว่าการให้คะแนนในช่องแกมันไม่ได้ช่วยอะไรเยอะ เลยทำให้ตัวแกแนะนำแทนว่า “ซื้อเลย” “ซื้อถ้าชอบแบบนี้” หรือ “รอลดราคาสักนิดก่อน

ในความชัดเจนของ Mortismal Gaming ก็ส่งผลถึงข้อเสียของการรีวิวสไตล์นี้ เท่ากับว่าเรารู้อยู่แล้วว่ายังไงเสีย เค้าก็ต้องชอบเกมนี้ในระดับหนึ่ง และด้วยความที่ยังไงเสีย เกมประเภทนี้มันต้องโดนเส้นแกอยู่แล้ว ทำให้รีวิวของ Mortismal Gaming อาจจะฟังดูอะลุ้มอล่วยในบางครั้ง
“Confirmation Bias”
อีกอย่างที่เราจะให้แง่บวกได้เยอะในหมู่เกมเมอร์ทั้งหลายคือการที่หลายๆ คนติดหล่มก็คงหนีไม่พ้น Confirmation Bias
Confirmation Bias (ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน) เป็นอะไรที่น่ากลัวมากในทั้งการเสพสื่อหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าเราติดอยู่ในลูปที่ยืนยันสิ่งที่เราคิดอย่างเดียวอยู่แล้ว เราก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หรือได้ลองอะไรใหม่ๆ ในชีวิต เป็นการปิดโลกทัศน์ไปโดยปริยายใน Echo Chamber (ห้องสะท้อนเสียง) ที่เราสร้างขึ้นมาบอกว่าสิ่งที่ฉันชอบมันดีที่สุดแล้ว

ซึ่งเรื่อง Confirmation Bias ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจและน่ากลัวพอตัว เพราะบางครั้งมันทำให้การเสพสื่อรีวิวของหลายๆ คนมันพลาดจุดประสงค์ของการเข้ามาดูรีวิวตั้งแต่แรก การแสวงหา Confirmation Bias จากรีวิวเพราะเราตั้งเป้าไว้แล้วว่า “สิ่งนี้มันต้องดีสิ” หรือ “เห้ย อันนี้มันต้องกากเว้ย” กลับกลายเป็นการล่าแม่มดไปด้วยปริยายเมื่อคนวิจารณ์มีความเห็นที่ต่าง อย่างกรณี Assassin’s Creed Shadows และทีมงาน GamingDose ที่หลายๆ คนมีธงในใจอยู่แล้วว่า “เกมมันต้องกาก” แต่พอทางทีม GamingDose ให้คะแนน 8.5 พร้อมกับระบุสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ยังไม่โดน กลับมีข้อครหาและการกล่าวหาว่าทาง GamingDose ได้รับเงินมาจากค่าย Ubisoft จนมีมีมซองเงิน 5 บาทที่ค่อนข้างจะไวรัลในทวิตเตอร์ช่วงต้นปี

กลับกัน เมื่อเกมที่เรามีธงแล้วว่านี่แหละที่สุดของปี กลับได้รีวิวที่เราคิดว่า “คะแนนมันต่ำไปไหม!?” ก็เกิดปัญหาด่าทอกันได้อีก ซึ่งถ้าจะให้พูดถึงตัวอย่างของปีนี้ก็คงหนีไม่พ้นเกมตัวตึงรางวัล GOTY อย่าง Clair Obscur: Expedition 33 ที่มีแฟนคลับที่ค่อนข้างจะ… passionate (หลงใหลคลั่งไคล้) สุดๆ จนเกิดประเด็นหลายๆ รอบนี้ในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างตอนที่ Famitsu สื่อรุ่นเก๋าจากญี่ปุ่น ให้คะแนนเกมนี้ 36/40 (หรือว่า 9/10 ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่สูงมาก) แล้วมีการตัดคะแนน localization (การแปลเป็นภาษาท้องถิ่น) ของเกมออก ก็ทำให้รถทัวร์ดริฟมาหลายขบวนและเกิดการกล่าวหาว่า Famitsu ไม่ให้เต็มสิบเพราะมันไม่ใช่เกมญี่ปุ่น มันเป็นเหตุการณ์ในคอมมิวนิตี้เกมที่ชวนให้เกาหัวเหมือนกัน

มุมมองส่วนตัว
การอ่านรีวิวสำหรับมุมมองของช่าคือ การที่เราจะหาใครสักคนที่เรามีเทสใกล้เคียงกันเพื่อดูว่าเกมนี้เหมาะกับเราไหม โดยส่วนตัวแล้วช่าก็หาอ่านรีวิวอีกคนที่เทสเกือบตรงกันข้ามกับตัวช่าเลย เราะช่าอยากรู้ถึง perspective ของคนที่ไม่ได้อินกับระบบเกมที่ช่าอาจจะชอบ มันเป็นการเปิดโลกอย่างหนึ่งเพราะมันก็เท่ากับว่าช่าได้ challenge ความชอบและเทสของตัวเอง และได้มองจากมุมที่กว้างขึ้น
ช่าว่ามันเป็นเรื่องน่าเสียใจที่คนดันเอาเลขรีวิวไปเป็นอาวุธอะไรสักอย่าง ในการกดทับเทสที่แตกต่าง และการพยายามอ้าง “objectivity” ที่แฝง “subjectivity” มันกลายเป็นการเอารีวิวมาบังความไม่ชอบในหลายๆ สิ่งของตัวเอง

เหมือนกรณีรีวิว SkillUp และ Dragon Age: Veilguard หรือ Assassin’s Creed Shadows ที่ทางช่อง SkillUp เองโดนกลุ่ม anti-woke หลายคนเอารีวิวตัวเองไปไล่ด่าคนที่ชอบสองเกมนี้ ทั้งๆ ที่ตัว SkillUp เองก็ชัดเจนว่าที่ไม่ชอบนั้นส่วนใหญ่แล้วมาจากการที่ตน burnout กับเกมแนว “open world” (โลกเปิด) และความตลกร้ายของวีดีโอทั้งคู่คือตัว SkillUp เองขอร้องว่า “อย่าเอาวีดีโอเราเป็นที่ตั้ง และอย่าเอาไปว่าคนอื่นที่ชอบ” ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสิ่งที่เค้าขอร้องให้คนดูไม่ควรทำ
ส่วนตัวแล้ว ช่าคิดว่า “การให้เกียรติ” เทสของคนอื่น ส่วนตัวแล้วหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดของการรีวิวหรือเสพรีวิวคือ “การที่เราจะไม่เอาความชอบและไม่ชอบของเราไปกดทับคนอื่น” เราจะไม่เอาคะแนนอะไรก็ไม่รู้ของเกมหนึ่ง ไปกดอีกเกมหนึ่ง หลายๆ ท่านเห็นแค่คะแนนแต่ไม่ได้อ่านบทความเพื่อจะเข้าใจความคิดของคนให้คะแนนเลย
บ่นมาตั้งเยอะ ตกลงจะพูดถึงอะไรกันแน่เนี่ย!?
สุดท้ายท้ายสุด การรักอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเกมหรือสื่ออื่นๆ อย่างเพลงและหนัง มันก็กลับมาอยู่ที่ความชอบส่วนบุคคล มันไม่มีผิด ไม่มีถูก ไม่ต้องเบ่งอะไรกันมากขนาดนั้นหรอก เพราะธงของพวกเราทุกคนมันต่าง การเจอใครที่ธงคล้ายๆ กันสักคน แล้วลองฟังลองดูเค้าเล่นก่อน มันก็ช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ของที่ชอบมันไม่จำเป็นต้องเป็นของที่ดี บัคเยอะขนาดไหน เกมกระตุกเท่าไหร่ หมาขนาดไหน ก็รักได้
ของที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นของที่ชอบ กวาดรางวันแม่งทุกสาขาก็ได้ แต่ถ้ามันไม่โดนเส้นมันก็ไม่มีความหมายสำหรับเรา

อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือการให้เกียรติความคิดเห็นของคนอื่น ทุกคนล้วนมีธงไม่เหมือนกันเวลาจะเสพสื่ออะไรสักอย่าง ถ้าใครชอบหรือไม่ชอบอะไรบางครั้งก็ต้องปล่อยเค้าไป แต่เค้าก็ไม่มีสิทธิ์จะมากดทับความชอบของเราด้วย
บางครั้งเราต้องเปิดใจลองอ่านรีวิวของคนที่เราอาจจะไม่เห็นด้วยเพื่อดูว่า ตกลงเค้าชอบ/ไม่ชอบเพราะอะไร ถ้าเหตุผลของเค้าฟังดูขึ้น (ไม่ว่าจะจริตที่มีให้เกมเพลย์ หรือการที่ไม่ได้อินกับเนื้อเรื่อง) เราอาจจะเจอมุมมองใหม่ๆ ก็เป็นได้ แต่ถ้าความไม่ชอบของเค้ามันออกแนวหลอนๆ เรื่องการเมือง เราก็จะได้เผ่นไปอีกทาง เย้ย

สำหรับเรา ตอนแรกก็เคยให้คะแนนเป็นตัวเลข แต่ก็คิดว่ามันยากมากที่จะอธิบาย และแสตนดาร์ดตัวเองก็ไม่ค่อยคงที่ ตอนนี้เราเลยมองว่าการที่เราได้ Appreciate การมีอยู่ของเกมได้และไม่กดดันกันผ่านเลขที่อาจจะไม่ได้มีความหมายขนาดนั้น มันก็มีความสุขแล้วละ







