รีวิว Lumines Arise - Manman02

Manman02 (@InfraDom)
Manman02 (@InfraDom)

The Stars Shine in our own eyes

Lumines เป็นซีรี่ยส์เกม Puzzle ชื่อดังที่อยู่กับเรามาแล้วหลายช่วงอายุคน เปิดตัวครั้งแรกในชื่อ “Lumines : Puzzle Fusion” เมื่อปี 2004 โดยลงให้กับเครื่อง Playstation Portable ซึ่ง ณ เวลานั้น Lumines เป็นเกม Puzzle ที่ค่อนข้างแปลก และแหวกแนวไปจากเกมแนวเดียวกันเกมอื่นๆ ในท้องตลาด ด้วยการที่เกมเพลย์ไม่ใช่แค่การเรียงบล็อกสีให้ตรงกันเหมือนเกมอื่นๆ แต่มันมีเรื่องของการเอา “เสียงดนตรี” เข้ามาเป็นส่วนประกอบหลักของเกม ทำให้ Lumines มีอัตลักษณ์ที่แข็งแรง และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเกมในยุคหลังๆ มากมาย แม้กระทั่งมีคนพยายามจะเลียนแบบ Lumines ขึ้นมาทั้งดุ้นก็ยังไม่มีใครที่สามารถจับเอา Essense ของเกมต้นแบบมาได้แบบ 100% เลยสักคน

ซึ่ง Lumines Arise เป็นเกมหลักลำดับที่ 6 ของซีรี่ยส์ ต่อจาก Lumines : Electric Symphony ที่วางจำหน่ายให้กับเครื่อง Playstation Vita เมื่อปี 2012 ถ้าหากไม่นับ Lumines Remastered ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2018 ให้กับเครื่องแทบจะทุก Platform ในยุคนั้น (PC, PS4, Xbox One และ Nintendo Switch) และ Lumines : Puzzle & Music ที่ลงให้กับแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนเมื่อปี 2016 นี่ก็เป็นเวลาร่วมทศวรรษ ที่เราไม่มี Lumines ภาคใหม่เลย จนกระทั่งวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา หลังจาทกี่คุณ Tetsuya Mizuguchi บิดาผู้ให้กำเนิดซีรี่ยส์นี้ ได้โยกย้ายตัวเองจาก Q Entertainment ในปี 2014 และก่อตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ Enhance Inc. และได้ทำผลงานชิมลางออกมาในชื่อ “Tetris Effect” กับภาคเสริมของมันคือ Tetris Effect Connected ที่ได้มอบประสบการณ์ในการเล่น Tetris ในแบบที่ไม่เคยมีภาคไหนทำได้มาก่อน (แม้กระทั่ง Puyo Puyo Tetris หรือ Tetris Grandmaster ก็ตามที) ก็ทำให้ภาคนี้ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มคอมมูนิตี้ Tetris และก็มีการบรรจุ Tetris Effect Connected เข้าไปในงานแข่งขัน Classic Tetris World Championship (CTWC) ด้วย

ซึ่งหลังจากที่ Tetris Effect Connected ได้ออกมาสู่สายตาชาวโลก ก็คงต้องถึงเวลาที่ซีรี่ยส์ลูกรักของคุณเท็ตสึยะได้ออกโรงกับเขาเสียที มันเลยนำมาสู่อีกหนึ่งว่าที่ Game of the Year ของผม กับภาคล่าสุดของซีรี่ยส์ Lumines เกมเรียงบล็อกสีอันเลื่องลือนี้ กับชื่อของมันว่า “Lumines Arise

A fusion of everything in-between

คอนเซ็ปต์ของ Lumines Arise จะยังคงไว้ซึ่งคำว่า “Puzzle Fusion” คือเกมพัซเซิลเรียงบล็อกสี ที่มีการเอาดนตรีเข้ามาเป็นส่วนประกอบ แต่เอาลูกเล่นของ Tetris Effect ผสมผสานเข้าไปมากขึ้น

เริ่มกันที่เกมเพลย์หลักก่อนครับ ตัวเกมจะเป็นเกมเรียงบล็อกสีขนาด 2x2 ที่ตัวบล็อกจะมีสีแค่สองสีเท่านั้น เราจะต้องเอาบล็อกสีเดียวกันมาชนกันให้ได้เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส 1 อัน (ก็คือขนาด 2x2 บล็อก) ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยตัวเกมจะมีแถบ Timeline วิ่งจากซ้ายไปขวาอยู่ตลอด เราจะต้องเรียงบล็อกสีให้ได้มากที่สุด เพราะเมื่อแถบ Timeline วิ่งผ่านบล็อกสีที่คุณเรียงไว้ คุณจะได้คะแนน และบล็อกสีทีเรียงไว้ก็จะหายไป หากคุณเรียงบล็อกได้ต่อกันมากๆ ก็จะเป็นการทำคอมโบต่อหนึ่งการวิ่งของ Timeline ครับ อ่านดูอาจจะงงๆ ผมแนะนำให้ดูคลิป Deep Dive ของตัวเกมเพื่อจะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ

แต่ลูกเล่นหลักของเกมจริงๆ จะอยู่ที่ไอ้เส้น Timeline ที่วิ่งจากซ้ายไปขวานี่ล่ะครับ เพราะมันจะสัมพันธ์กับจังหวะของเพลงที่เล่นในแต่ละ Skin (ด่านแต่ละด่านของเกม) และทุกๆ ครั้งที่คุณทำอะไรสักอย่างใน Playfield จะมีเสียง Jingle เล่นออกมาตลอด เช่นการหมุนบล็อก, การเลื่อนบล็อกไปทางซ้ายหรือขวา, การลากบล็อกลงมา หรือแม้กระทั่งตอนเส้น Timeline กวาดบล็อกสีที่คุณเรียงเอาไว้ ก็จะมี Jingle เล่นขึ้นมาหมด ซึ่ง Jingle จะสัมพันธ์กับตัวเพลงด้วยว่าเป็นแบบไหน เช่นเสียงเปียโน, เสียงผู้หญิงฮัมเพลง, เสียงกระดิ่ง ฯลฯ

ซึ่งนี่เป็นจุดนึงที่เกมตีโจทย์แตก เพราะส่วนมากเกม Puzzle จะไม่ได้มีอะไรหวือหวามากมายนัก และเล่นไปนานๆ อาจจะเบื่อ เพราะงั้นตัวเกมก็จะต้องมีลูกเล่นพิเศษเพื่อเอามากลบความน่าเบื่อนั้น สำหรับ Lumines ก็คือการเอาเรื่องของดนตรีและจังหวะของมันเข้ามาเล่นอยู่ในสมการเนี่ยแหละครับ และมันเป็นเสน่ห์นึงที่ Lumines มั่นคงแข็งแรงมาตลอด

แต่ภาค Arise ก็ยกระดับมันขึ้นไปอีกขั้นด้วยการเพิ่ม Burst Mode เข้ามา ซึ่งมันเป็นโหมดที่ต่อยอดจากโหมด Zone ของ Tetris Effect มา การทำงานของมันคือการ Sweep บล็อกสีใดสีหนึ่งทั้งกระดานโดยการต่อคอมโบสีนั้นไปเรื่อยๆ ซึ่งมันมีการจำกัดเวลาคือจำนวนครั้งที่เส้นไทม์ไลน์วิ่งในโหมด Burst ครับ พอครบกำหนดคุณได้กี่ Burst บล็อกสีนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นอีกสีหนึ่งทันที และจะกลายเป็นคอมโบชุดใหญ่ให้เส้นไทม์ไลน์มากวาดไปหลังจบโหมด Burst ไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเข้าโหมด Burst ท่วงทำนองของเพลงก็จะเปลี่ยนไปด้วยตามแต่ Skin ที่เราเล่นอยู่ตอนนั้น โหมดนี้ทำให้ตัวเกมสนุกขึ้นเยอะเลยครับ และเวลาเราทำ Burst ได้เยอะๆ เวลาไทม์ไลน์กวาดทีเดียวนี่ ก็ฟินไม่น้อยเลยเหมือนกัน

ตัวเกมไม่มีโหมดเนื้อเรื่องใดๆ แต่จะมีโหมดหลักที่ชื่อ “Journey” ที่่เป็นการเล่นผ่านด่านไปทีละชุด ชุดละ 5 ด่าน เมื่อคุณเล่นโหมดนี้จบ คุณก็จะสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นใหม่แต่ต้น หรือเล่นโหมด Survival ที่จะเป็นการเล่นไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดสิ้นสุดจนกว่าคุณจะแพ้ หรือจะไปเล่นโหมด Playlist ที่คุณสามารถจัดเรียง Skin ที่อยากเล่นได้ตามใจชอบ และเซฟเป็น Playlist ไว้ ซึ่ง Playlist นี้คุณสามารถที่จะเปิดเป็นโหมด Theater ได้ คือคุณไม่ต้องเล่นครับ เกมเล่นให้เอง เปิดทิ้งไว้แล้วนั่งฟังเพลงจอยๆ ไป

หรือคุณจะท้าทายความสามารถตัวเองกับการลงโหมด Challenge ซึ่งภาค Arise ก็ได้นำเอาโหมด Dig Down ของภาค Supernova กลับมาปัดฝุ่นใหม่ และเปลี่ยนรูปแบบเกมเพลย์ จากตัวเดิมที่คุณเพียงเคลียร์บล็อกสีใน Playfield ให้ถึงก้นของ Playfield ในภาค Arise จะกลายเป็นแบบ Survival คือคุณต้องเคลียร์บล็อกสีไปเรื่อยๆ ให้ทันก่อนที่บล็อกสีชุดใหม่จะดันขึ้นมาจากก้นของ Playfield ครับ แต่ถ้าคุณเบื่อที่จะเล่นคนเดียว ก็เข้าไปเล่นในโหมด Multiplayer ได้โดยจะมีโหมด PVP แบบ 1 v 1 เป็นโหมด Burst Battle ที่จะต่างจากโหมด Versus ของภาคเก่าๆ ตรงที่ว่าภาค Arise จะเน้นการยัด Burst ให้ได้มากที่สุดเพื่อเอา “บล็อกขยะ (Garbage)” ไปถมใน Playfield ของคู่ต่อสู้ ซึ่งของภาคเก่าจะเป็นแค่การเล่นเคลียร์บล็อกสีไปเรื่อยๆ เพื่อดันขอบไปยังอีกฝั่งให้ได้มากที่สุดเท่านั้นเอง

เกมเพลย์ของ Lumines Arise นั้นเอาจริงๆ มันดูเรียบง่าย แต่มั่นคง เหมือนกับภาคที่ผ่านมาๆ ครับ การมีโหมด Burst เพิ่มเข้ามาทำให้ตัวเกมดูมีความสดใหม่ในตัวมากขึ้น ผมสามารถนั่งจมจ่อมกับมันได้เป็นชั่วโมงๆ เพียงแค่เล่นโหมด Journey อย่างเดียว แต่ทุกวันนี้ผมก็เอนจอยกับโหมด Playlist มากๆ เพราะมันสามารถเพิ่มเพลงไปได้เรื่อยๆ เราสามารถ Mix & Match เพลงที่เราชอบได้โดยที่ไม่เบื่อเลย แต่เอาเข้าจริง แม้มันจะมีเกมเพลย์มันค่อนข้างแข็งแรง และแทบจะไม่มีอะไรให้ติ จุดที่ผมมองว่าเป็นจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของ Lumines Arise คือภาพกราฟิกส์ครับ

Transcend into tranquility with some eye-candied flashes

กราฟิกส์ของ Lumines Arise จะต่อยอดจาก Tetris Effect มาอีกที ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่เอามาด้วย คือมันเล่นในโหมด VR ได้ครับ และแน่นอนว่าเป้าประสงค์ก็เหมือนกัน คือมันจะพาคุณ “ดำดิ่ง” ไปกับประสบการณ์เหนือจินตนาการที่เกมมอบให้ เพราะงั้นตัวฉากหลังของเกมจะค่อนข้างหวือหวา และเต็มไปด้วยเอฟเฟกต์ฟุ้งๆ เบลอๆ ซึ่งภาค Arise นั้นจะมีการปรับ Pattern ของบล็อกให้ชัดเจนกว่าภาคเดิมมากยิ่งขึ้น ตัวบล็อกแต่ละบล็อกจะมีเอฟเฟกต์เฉพาะตัวของมัน สไตล์องค์รวมจะต่างจากภาคก่อนพอสมควรในแง่ของการเคลื่อนไหวตัวบล็อกที่มี Animation การหมุน การเลื่อนบล็อก ทำให้มันดูนิ่มนวลต่อสายตาเรามากขึ้น และมีการเพิ่มเอฟเฟกต์ใน Playfield มาอย่างเช่นเวลาเราเลื่อนบล็อกลงมาต่อข้างล่างก็จะเกิดการสั่น, หรือโยกซ้ายขวาเวลาเราเลื่อนบล็อกไปมาอะไรแบบนี้ครับ ซึ่งออพชั่นพวกนี้เราสามารถปิดได้หากเราไม่คุ้นชินกับมัน อยากได้ Playfield นิ่งๆ แบบภาคเก่ามากกว่าก็ทำได้ และหากฉากหลังมันทำเราปวดตามากไป เราก็สามารถเพิ่มความทึบของ Playfield ได้เหมือนกัน

และในแต่ละสกิน จุดเด่นนึงของ Lumines ที่เป็นมาตลอด คือ “แบ็คกราวด์” ที่แสดงถึงคาแรคเตอร์ มู้ด และโทนของแต่ละเพลงอย่างชัดเจน ซึ่งที่ผ่านๆ มาพื้นหลังจะเป็นแบบ 2D มีอนิเมชั่นขยับไปมานิดๆ หน่อยๆ แต่ภาคนี้จัดเต็มเป็นแบบ 3 มิติ และจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อจังหวะของเพลงด้วย ซึ่งในตอนที่เล่นโหมด Journey หรือเล่นบน Playlist ปกติ ตัวฉากจะมีการ Transition เข้า-ออกตลอดเวลาเปลี่ยนเพลงเพื่อให้เข้ากับธีมของ Skin นั้นๆ อันนี้ผมชอบมากครับ มันดูไม่แข็ง ไม่ทื่อแบบภาคก่อนๆ ดี

มีเรื่องนึงที่ทำให้ผมค่อนข้างทึ่ง คือเกมมันมีโหมดกลัวแมงมุมกับโหมดกลัวงูด้วยครับ เพราะบางเพลงของเกมนี้จะใช้แบ็คกราวด์เป็นงูหรือแมงมุมด้วย เกมก็เลยมีออพชั่นสำหรับคนที่กลัวงูหรือแมงมุมมาให้ เป็นการแสดงถึงการเอาใจใส่ของ Dev พอสมควร แต่ในบาง Skin นั้นตัวบล็อกจะสีคล้ายๆ กัน แต่ Pattern ไม่เหมือนกัน ซึ่งคนตาบอดสีอย่างผมจะแยกค่อนข้างยาก ตัวเกมก็เลยมีออพชั่นตาบอดสีมาให้ 3 รูปแบบ ตัวบล็อกที่มีสีคล้ายๆ กันก็จะถูกแยกสีออกอย่างชัดเจน ซึ่งอันนี้ถือเป็นออพชั่นที่ดีมากๆ ทำให้สบายตาขึ้นเยอะ

โทรสีปกติ
เปิดโหมดตาบอดสี

ทั้งนี้ ตัวเกมมีออพชั่นหลายๆ อย่างเพื่ออำนวยความสะดวกในการเล่นของเรามากๆ ทั้งการปรับเส้น Guidline ในการลงบล็อก ปรับอนิเมชั่นของเส้น Timeline หรือแม้กระทั่งโหมด No Stress Lumines ที่หยุดการไหลของบล็อกเพื่อให้เรามีเวลาคิดมากขึ้น แต่ก็แลกมากับการที่ตัวเกมจะไม่คิดคะแนนในการเล่นของเราใน Leaderboards เท่านั้นเอง

The Sound of Music

เพลงของภาค Arise นั้นมีหลากหลายสไตล์มากๆ ทั้งแนว Hip-Hop, Trance, Hard Jazz หรือแนว EDM หัวโยกก็มี แต่แนวทางของเพลงเท่าที่ผมฟังๆ ดูมันออกจะเทไปทางฝั่งของ Tetris Effect ซะมากกว่า ด้วยความที่อาจจะเป็นเพราะทั้งสองเกมมีสไตล์ในองค์รวมใกล้เคียงกันมากๆ และ Composer หลักของทั้งสองเกมเป็นคนเดียวกัน คือ Hydelic แม้ว่าจะมีเพลงจาก Composers ท่านอื่นอยู่ในเกมด้วย แต่ผมยังรู้สึกว่าแต่ละเพลงมันยังขาดความ “โจ๊ะพรึมๆ” แบบที่ Lumines ภาคเก่าเคยเป็นอยู่นิดหน่อย แต่ก็ถูกทดแทนด้วยความหลากหลายของแนวทางและเครื่องดนตรีที่ไม่ซ้ำซากจำเจแทน และด้วยการที่ตัวเพลงจะต้องแยกเป็นโหมดการเล่นปกติ กับโหมด Burst ทำให้มิติของเพลงมันมีมากขึ้น เวลาเล่นก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย

Lumines Effects Connected

Lumines Arise ถือเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ของปีนี้ที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอ มันเป็นเกมที่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมของ Lumines ที่แข็งแกร่ง และยกระดับมันขึ้นไปอีกขั้น ด้วยประสบการณ์ของทีม Enhance จาก Tetris Effect ที่ลองนำเอามันมาประยุกต์ใช้กับ Lumines และได้ผลลัพธ์ออกมาเหนือกว่าจินตนาการ มันได้มอบประสบการณ์ที่คล้ายคลึง แต่กลับแตกต่างอย่างเหลือเชื่อ มันคือ Lumines ที่ผมไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน และมันคือ Lumines ที่ยอดเยี่ยมกว่าที่มันเคยเป็น นี่คือตัวเต็ง “เห็ด of this Year” ของผม มันคือเห็ดหัวแถวที่ผมไม่สามารถหยุดเล่นมันได้เลย

Lumines Arise
Lumines Arise ถือเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ของปีนี้ที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอ มันเป็นเกมที่คอนเซ็ปต์อาจจะดูเรียบง่าย แต่เนื้อในของมันกลับลึกซึ้งยิ่งกว่าที่คิด เพลงแต่ละเพลงมีความหมาย และบล็อกแต่ละอันก็ต่างขับขานท่วงทำนองของมันอย่างเหมาะเจาะ นี่คือหนึ่งในเกมแห่งปีของผม และมันจะอยู่ในใจผมไปอีกนานแสนนาน

9


บทความอื่นๆ

อ่านช่าบ่น: "เกม" "รีวิว" "ความชอบ" และ "คุณ"

"เราอ่านรีวิวเกมกันไปเพื่ออะไร?"

Tasha Strong
Tasha (@kindest_natlala)

Who the hell is Zagreus? (Pun Intended)

"เทพบุตรแห่ง Rogue-like เป็นใครมาจากไหนตามเทพปกรณัมกรีก"

Intenseflute (@Fluteisintense on Twitter)
Intenseflute (@Fluteisintense on Twitter)

รีวิว Borderlands 4 - Manman02

"Borderlands 4 จริงๆ มันยังคงเป็น Borderlands ที่ทุกคนคุ้นเคย แม้ว่าผมจะเจอปัญหาทางเทคนิคบางประการ"

Manman02 (@InfraDom)
Manman02 (@InfraDom)

บ่น-เยอะ: ว่าด้วยเรื่อง Assassin's Creed ที่ถูกยกเลิก

"น่าเศร้าที่ Ubisoft ยังไม่กล้าพอที่จะขยับขาเดินก้าวต่อไป"

Manman02 (@InfraDom)
Manman02 (@InfraDom)