รีวิว Borderlands 4 - Manman02

Manman02 (@InfraDom)
Manman02 (@InfraDom)

สำหรับผมแล้ว ซีรี่ยส์ Borderlands มักจะมีพื้นที่เล็กๆ อยู่ในหัวสมองผมตลอดเวลา คือเกมมันก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร แต่มันกลับมอบประสบการณ์แปลกๆ ที่เกมไหนก็ให้ผมไม่ได้อยู่ตลอด ทุกครั้งที่มันมีภาคใหม่ออก มันก็จะทำให้ผมรู้สึกแบบนี้อยู่เรื่อยๆ

ซึ่งภาคที่ 4 ของแฟรนไชส์คนเพี้ยนเสี้ยนปืนที่อยู่คู่กับพวกเรามานับทศวรรษนี่ ก็ยังเป็นแบบนั้นเหมือนเดิม มันมีอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามา แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่มันเคยขาด มันกลับเติมเข้าไปเพียงแค่เสี้ยวนึงเท่านั้น ทำให้ผมรู้สึกว่า มันเป็นเกมที่ทั้งขาดและเกินในตัวเองก็คงไม่ผิดนัก

เนื้อเรื่องของ BL4 (ย่อ) นั้น ได้ถูกปรับปรุงข้อเสียที่ติดมาจากภาค 3 มาพอสมควร คือในส่วนเนื้อเรื่องหลักนั้น BL4 จะลดโทนความตลกขบขันลง และเพิ่มความจริงจังและเข้มข้นให้มากขึ้น และปรับสเกลลงมาจากเดิมที่เราลงไปทำภารกิจในดาวหลายๆ ดวง ภาคนี้ก็กลับมาโฟกัสที่ดาวดวงเดียว คือ Kairos ดาวเคราะห์ที่ไม่เคยปรากฏบนแผนที่กาแล็กซี่ แต่แล้ววันนึงอยู่ดีๆ มันก็โผล่มาหลังจากที่ดวงจันทร์ Elpis ถูกเทเลพอร์ทมาอยู่ในวงโคจรจากเหตุการณ์ตอนจบของภาค 3 อันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่เหล่า Vault Hunter (ซึ่งจริงๆ ก็มีแค่ 4 คน) ได้เดินทางมาที่ดาวนี้ เพื่อค้นหา Vault และถูกจับตัวไปโดย Timekeeper ผู้นำเผด็จการสูงสุดของดาวดวงนี้

ซึ่ง เอาจริงๆ เนื้อเรื่องของ BL4 นั้นจัดว่ายาวพอสมควร ภารกิจหนึ่งใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะจบ (น่าจะประมาณ 1-2 ชั่วโมงได้เลย) แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องมันเข้มข้น Downtime ค่อนข้างน้อย คือคุยเสร็จ วิ่งยิงต่อเลย แถมบางทีระหว่างยิงก็มีคุยกันด้วย ทำให้บางทีก็จำไม่ได้ว่าคุยอะไรกันเพราะโฟกัสแต่การยิงอย่างเดียว แต่เนื้อเรื่องหลักไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรขนาดนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นและคลี่คลายปมได้ในตอนจบ ซึ่งสิ่งที่ผมคาดหวังไว้ใน Borderlands แต่ละภาค อย่างการหักมุมที่เหลือเชื่อ หรือการกลับมาของตัวละครจากภาคเก่า ก็ได้สมหวังดั่งใจ แม้กระทั่งคำโปรยชวนหัวร่อใน Character Intro ก็ยังพอมีให้เห็นบ้าง แม้จะลดจากภาคก่อนหน้าไปพอสมควร แต่ก็ยังรู้สึกชื่นใจที่ Gearbox ยังคงเก็บส่วนนี้ไว้ เพราะเอาจริงๆ Character Intro ของตัวละครและบอสในภาค 3 นี่โคตรจะโดนเส้นผมเลย

อีกส่วนที่ทำให้เนื้อเรื่องของภาคนี้สนุก ก็คงจะเป็นเหล่า Vault Hunter ทั้ง 4 ที่เราได้เล่น ด้วยการที่แต่ละคนมาจาก Background ที่ไม่เหมือนกัน ทุกคนเลยมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนและมันส่งออกมาใน Dialogue ทั้งในเนื้อเรื่องหลักและ Side Quest ที่ทั้งสี่คนจะมี Reaction ต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนกันซักคนเลย แต่น่าเสียดายอยู่อย่างนึง คือใน Session Co-Op ผมจะไม่เห็น Reaction ต่อผู้เล่นอีกคนเลย แบบผมอยากให้มีการสนทนาเกิดขึ้นระหว่างตัวละครบ้างก็ดี

แม้ว่าตัวเนื้อเรื่องหลักจะซีเรียสและเข้มข้น แต่ Side Quest ของเกม ก็จะยังคงความเป็น Borderlands ในแง่ของความตลกโปกฮาและความเรื้อนอยู่เหมือนเช่นเคย ถ้าจำกันได้ Narrative Director ของ Gearbox เคยออกมาพูดว่า ภาคนี้จะลดมุกประเภท Toilet Humor กับมุกที่อิงจาก Internet Meme ที่ค่อนข้างเฝือในภาค 3 ลง ซึ่งมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ ภาคนี้มีมุกที่อิงจากมีมอินเตอร์เน็ตน้อยมาก แม้จะยังมีการเล่นมุก Toilet Humor (มุกที่เกี่ยวกับส้วม หรือการใช้ส้วมอะไรทำนองนี้) อยู่บ้าง แต่ก็น้อยลงไปเยอะ และเน้นการเล่นมุก Original ที่อาจจะเกี่ยวกับ Culture ของมนุษย์ในโลกจริงบ้างก็มี แต่ภารกิจเสริมอันไหนที่เน้นมุกตลก ก็โคตรตลก แต่ก็มีเควสที่ซีเรียสจริงจังไปจนถึงน่าหดหู่เลยก็มี คือมันหลากรสหลากอารมณ์มากๆ ประหนึ่งว่าผมกำลังเล่น Like a Dragon แต่เป็น Looter Shooter ยังไงยังงั้นเลย

พอพูดถึง Looter Shooter ซึ่งมันเป็น Gameplay Loop สำคัญของซีรี่ยส์ (และยังเป็นผู้กำหนด Subgenre นี้ขึ้นมากับมือ) BL4 ก็ยังไม่ทำให้ผมผิดหวังเหมือนเดิม มันเป็นเกมที่ยังคงใช้คอนเซ็ปต์ “ยิง ลูท วนเวียน” แต่อัดลูกบ้าและความโกลาหลให้มากขึ้น ตัวละครเรามีการลูกเล่นในการเดินทางใหม่ๆ ทั้งการ Double Jump, การแดชหลบและลอยตัวค้างกลางอากาศที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่ และ Grapple เชือกตะขอที่ใช้หยิบใช้จับสิ่งของ หรือดึงตัวเราขึ้นไปบนที่สูงๆ ซึ่งเหตุผลที่มันมีลูกเล่นใหม่เพิ่มเข้ามาขนาดนี้ ก็เพราะแผนที่ในเกมถูกปรับเปลี่ยนเป็น Open World เต็มรูปแบบนั่นเอง มันคือโซนใหญ่ๆ 4 โซน ต่อเข้าด้วยกัน ไม่มีการโหลดฉาก ทำให้การเดินทางด้วยการวิ่งๆ โดดๆ เฉยๆ ก็ไม่ทันใจ สำรวจอะไรก็ไม่มันส์ เลยเพิ่มการ Hover และการกระโดดสองชั้นเข้ามาด้วย และปรับเปลี่ยนวิธีการเดินทางด้วยพาหนะใหม่ จากการที่เราต้องถ่อไปเรียกรถบั๊กกี้ในสถานีเรียกรถ กลายเป็นรถ Hoverbike (ในเกมจะเรียก Digi-Runner) ที่เราสามารถเรียกจากตรงไหนก็ได้ (แบบ Destiny) ซึ่งก็เข้าใจได้จากรูปแบบแผนที่ที่ถูกเปลี่ยน แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิด คือเกมมันตัด Minimap ออกไป แล้วใช้ระบบ Compass ในการนำทางแบบเกม Bethesda แทน ซึ่ง ผมไม่ถนัดโว้ย 5555555 บางทีดูก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนของโลก ยิงเสร็จไม่รู้ว่าต้องไปไหนต่อ เปิดแผนที่ดูก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะบางพื้นที่มันเป็นถ้ำอ่ะ วิ่งหลงๆ ไปดิ แล้ว Side Activities ให้ทำก็ค่อนข้างเยอะ เช่นการเก็บ Audio Log หรือ Vault Symbol ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งผมก็ไม่อะไรหรอก แต่ไอ้ของพวกนี้มันจะมีไปซุกๆ อยู่ในโซนแยกของเนื้อเรื่องหลัก แล้วบางทีเราวิ่งๆ เพลินๆ ดูเนื้อเรื่องไปด้วย รู้ตัวอีกทีคือวิ่งเลยมันไปไกลแล้ว จะวิ่งกลับมาเก็บก็ขี้เกียจ กลายเป็นว่าผมไม่สามารถยิงยาวตั้งแต่ทางเข้าจนถึงห้องบอสได้ ต้องมาพะว้าพะวงเปิดแผนที่ดูว่าพลาด Collectibles อะไรไปรึเปล่า คือผมว่าการใส่ของพวกนี้มาให้เก็บในพื้นที่แยกของเนื้อเรื่องนี่ ไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะมันทำให้การเดินเรื่องขาดตอนไประดับนึง

แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะมีแต่ข้อเสียไปซะหมด สิ่งนึงที่ผมว่าภาคนี้ทำมาเพื่อแก้ Pain Point ของผมตอนภาค 3 เลย ก็คือ Boss Replay ครับ คือภาคนี้จะมีการเพิ่มตู้ kiosk อันนึงไว้หน้าห้องบอสทุกตัวที่คุณเคยสู้มาแล้ว ทั้งบอสในพื้นที่สำรวจ และบอสโหมดเนื้อเรื่อง โดยตู้คีออสก์นี้จะเอาไว้ใช้เรียกบอสตัวนั้นออกมาให้สู้อีกครั้ง เพื่อฟาร์มนั่นเอง ซึ่งในภาคที่ผ่านๆ มา หากคุณอยากจะฟาร์มอาวุธซักอย่างที่มันดรอปเฉพาะบอสตัวนั้นๆ คือคุณต้องเล่นเนื้อเรื่องช่วงนั้นใหม่ตั้งแต่ต้น หรือใช้ทริคการเซฟ / โหลดเซฟเอาเพื่อกลับไปสู้บอสใหม่ ซึ่งก็ต้องขอบคุณการที่ตัวเกมเปลี่ยนจากพื้นที่กึ่งปิดเป็น Open World ด้วยเนี่ยแหละที่ทำให้ Gearbox ตัดสินใจใส่ไอ้ตู้คีออสก์นี่มา เพราะไม่งั้นจะฟาร์มบอสตัวนึงคงเหนื่อยตาย ต้องมาเล่นโหมดเนื้อเรื่องใหม่แต่ต้น

มาพูดถึงด้านบอสในเกม หากเป็นบอสทั่วๆ ไปตามพื้นที่สำรวจก็คงจะไม่อะไรมาก แต่บอสในโหมดเนื้อเรื่องกลับไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ เป็นไฟต์ที่สนุกมากๆ ด้วยการที่เราก็มีลูกเล่นการเคลื่อนไหวเยอะขึ้น บอสก็เลยตึงมือขึ้น มีการปล่อยท่าเป็น AOE แล้วเราต้องโดดหลบบ้าง แดชหลบบ้าง ต้องลอยตัวค้างไว้เพื่อหลบบ้าง หรือต้องใช้ลูกเล่น Grapple เพื่อต่อสู้ก็มี แถมบอสยังแบ่งการโจมตีออกเป็น Phase ด้วย เราต้องงัดทุกทักษะในการใช้อาวุธและการเคลื่อนไหวออกมาเพื่อสู้เลย

ในด้านของอาวุธที่เป็นส่วนสำคัญที่สุดของซีรี่ยส์นี้ มาภาคนี้ดึงเอา Feature นึงของภาค 3 มาใช้ คืออาวุธบางชนิดจะมีโหมดการใช้งานนอกจากการยิงปกติ 1 อย่าง แล้วแต่ยี่ห้อ (ปืนในซี่รี่ยส์นี้จะแบ่งคุณสมบัติออกเป็นยี่ห้อๆ) ซึ่งภาคนี้จะมียี่ห้อใหม่เพิ่มเข้าบ้าง แต่ก็ดันตัดบางยี่ห้อออก ทำให้ยี่ห้อปืนที่มีให้ใช้ในภาคนี้ก็ยังดูน้อยๆ เหมือนเดิม แต่เกมก็เพิ่มลูกเล่นใหม่เข้ามาคือ “Licensed Parts” อธิบายแบบง่ายๆ ก็คือ ปืนกระบอกหนึ่งสามารถมีชิ้นส่วนที่ได้ลิขสิทธิ์ของยี่ห้ออื่นมาได้ ทำให้มันมีคุณสมบัติของปืนสองยี่ห้อในตัว ทำให้ตัวเลือกในการสุ่มปืนมันมีเยอะขึ้น (ทีมงานบอกน่าจะซัก 3 พันล้านกระบอกได้ ไม่รู้จริงมั้ย) เพราะรอบนี้นอกจากเราต้องสุ่มหายี่ห้อปืนที่เราอยากจะใช้แล้ว เราต้องมาลุ่นด้วยว่ามันจะมีชิ้นส่วนที่ได้ Licensed จากอีกยี่ห้อที่เราอยากได้ด้วยรึเปล่า เพราะภาคนี้จะมีอุปกรณ์สวมใส่ชิ้นใหม่เพิ่มเข้ามาอีกอันคือ Enhancements ที่เพิ่มโบนัสให้กับยี่ห้อชิ้นส่วนปืนที่เรามีด้วย

แต่ในฐานะเกม Borderlands สิ่งนึงที่มันเป็นเอกลักษณ์นอกจากปืนเยอะๆ ลูทบวมๆ ก็คือ อาวุธปั่นๆ เนี่ยแหละครับ ภาคนี้ยังคงมีอาวุธกวนตีนๆ ให้คุณได้จับจองเป็นเจ้าของเหมือนเคย ซึ่งบางปืนนี่กวนตีนมากจนผมตั้งคำถามเลยว่า “นี่มึงใช้ได้จริงป่ะเนี่ย?” เลย แต่เชื่อผมเถอะ อาวุธปั่นๆ เนี่ยแหละ โคตรอันตราย

นอกจากอาวุธและอุปกรณ์สวมใส่ที่มีเยอะ สิ่งที่ทำให้มันหลากหลายมากไปกว่านั้น คือ Skill Tree ครับ ภาคนี้ Skill Tree เยอะกว่าภาค 3 เกือบ 2 เท่าได้เลย เพราะภาคนี้ตัวละครจะมี 3 Skill Tree และแต่ละ Skill Tree ก็จะมีสายแยกออกไปอีกอย่างละ 3 สาย ทำให้เราสามารถ Build ได้หลากหลายมากๆ และหากเราถึง Level Cap แล้ว ก็จะมีเลเวล Specializations ต่ออีก ซึ่งคอนเทนท์ Endgame ของภาคนี้ได้หยิบยกเอาระบบ Ultimate Vault Hunter ของภาค 2 กับ Pre-Sequel กลับมาใช้อีกรอบ แต่ก็มีการปรับปรุงให้เข้ากับระบบ Open World ของเกมได้อย่างลงตัว ผมรู้สึกว่า ต่อให้เล่นเกมจบไปแล้ว ผมก็ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะมากมาย และจอยๆ ไปกับเกมได้เรื่อยๆ เลย ในส่วนของงานภาพ เกมนี้ได้ใช้ Unreal Engine 5 ในการพัฒนา ซึ่งผมว่ามันมีปัญหา Optimization อยู่ระดับนึง คือเกมเพลย์ปกติก็ไม่ได้ 60FPS ลื่นๆ (จอผม 60hz เลยดันเฟรมเรทได้แค่นี้) มีตกเหลือ 20 บ้างประปรายทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเอฟเฟกต์อะไรวิ่งในจอเลย ในคัตซีนบางทีก็เฟรมดรอปไปเฉยๆ ก็มี แต่สิ่งนึงที่ยอมรับคือ งานภาพสวยมากครับ ดีเทลฉากเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ทั้งหญ้า น้ำ ก้อนหิน ตึกรามบ้านช่องต่างๆ เสื้อผ้าหน้าผมตัวละคร อาวุธ มันดูละเอียดขึ้นกว่าภาค 3 มาพอสมควร และ Character Design ก็ทำดีมากๆ ทั้งฝั่งพันธมิตรของเราและพวกตัวร้าย โดยเฉพาะพวกบอสที่ดูน่าเกรงขามทุกตัวเลย แต่ดีไซน์ของศัตรูฝั่ง The Order ที่เป็นตัวร้ายใหม่ของภาคนี้ ผมกับเพื่อนที่เล่นด้วยกันทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “เหมือน Destiny” เลย ทั้งโทนสีขาว/ทอง กับรูปทรงยานกับตัวละครที่มีรูปทรงเรขาคณิตเป็นส่วนประกอบ คือมันทำให้ผมนึกถึงพวกศัตรูใน Destiny เหมือนกัน แต่ผมถือว่ามันเป็นทิศทางใหม่ๆ ของซีรี่ยส์ที่ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้เท่าไหร่ เป็นการออกแบบที่ดีมากๆ เลยทีเดียว

เพลงประกอบ ก็เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของซีรี่ยส์ Borderlands ซึ่งภาค 4 ยังคงย้ำจุดนี้ได้อย่างมั่นคงแข็งแรง เพลงประกอบฉากต่อสู้ทั้งศัตรูทั่วไปและบอสไฟท์เร้าใจมากๆ เสียงปืนที่มีหลากหลายแบบแยกได้ชัดเจนว่าเป็นปืนแบบไหน และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ คือเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของพวกศัตรูที่มักจะยั่วยุกวนตีนเราอยู่ตลอดในการต่อสู้ ก็ยังคงเป็นเสน่ห์ที่ขาดไม่ได้ เรื่องนี้ผมก็ไม่มีอะไรต้องติครับ

มันเป็นเรื่องที่ผมคงปฏิเสธไม่ได้ ว่าต่อให้สนุกกับ BL4 ขนาดไหน ผมก็ไม่สามารถมองข้ามปัญหาทางเทคนิคที่ผมเจอระหว่างเล่นได้ ผมพบเจอบั๊กประปรายที่ไม่ใช่ระดับ game breaking หรืออะไร แต่ก็สร้างความเหนื่อยหน่ายให้ได้มากโข เช่น Side Activities ไม่เดินหน้าต่อ,หลอด HP ของศัตรูไม่โชว์, บั๊กการเชื่อมต่อระหว่างเล่น Co-Op ที่เกมจะ Lag ผิดปกติแม้ว่าปิงจะเหลือแค่ 40-50 เท่านั้น และการทำ Challenges ที่เกี่ยวกับการฆ่าบอส ที่ผมไม่รู้ว่ามันบั๊กรึเปล่า แต่หากเพื่อนเราทำ Challenge นี้เสร็จไปแล้ว แล้วเข้ามาช่วยเราทำ หากเราไม่ได้เป็นคนฆ่าบอสตัวนั้น Challenge จะไม่ผ่าน ต้องสู้ใหม่เลย และปัญหาเรื่อง Map Progression บางอย่างที่ หากเราเข้าไปเล่น Session ของเพื่อน ไปเปิดแมพ เปิดจุด Fast Travel ใน Session ของเพื่อนเสร็จสรรพ พอกลับมาที่ Session ตัวเองมันจะไม่ขึ้นบนแผนที่ให้ เราต้องวิ่งเข้าไปใกล้ๆ มันก่อนเพื่อให้มันโผล่ขึ้นมาบนแผนที่ ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่รวมกันไปเลย เพราะทีภารกิจเนื้อเรื่องกับพวกภารกิจเสริมมันรวมกันให้ได้ ก็เป็นปัญหาทางเทคนิคชวนมึนที่ผมไม่สามารถมองข้ามได้เหมือนกัน

แต่แม้ว่าผมจะเจอปัญหาทางเทคนิคบางประการ (ในรีวิวนี่ก็บอกไม่หมด ผมนึกไม่ทัน) แต่ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผมสนุกไปกับ Borderlands 4 จริงๆ มันยังคงเป็น Borderlands ที่ผมคุ้นเคย แค่รอบนี้มันพาผมไปอยู่ในที่ใหม่ๆ ได้เจออะไรใหม่ๆ ได้ใช้ปืนใหม่ๆ ได้ลองอะไรใหม่ๆ แบบที่ภาคก่อนๆ ก็ไม่เคยลองทำ แม้ว่ามันจะมีอะไรที่ขาดๆ เกินๆ อยู่บ้าง แต่ส่วนที่มันเสริมเข้ามาก็พอจะทดแทนได้อยู่ เนื้อเรื่องที่เข้มข้น เร้าใจ ไซด์เควสก็มีทั้งฮาทั้งเครียด ออพชั่นปืนแบบใหม่ๆ ที่เปิดโอกาสให้เราได้ลอง Build ที่หลากหลายมากขึ้น รวมไปถึงการ Skill Tree ตัวละครแบบใหม่ที่ก็ยิ่ง Build ได้มากขึ้นไปอีก และคอนเทนท์ Endgame ที่กระชับแต่ยั่งยืน ก็ทำให้ผมอยู่กับมันได้เกิน 100 ชั่วโมงได้แบบไม่ยากเย็น

Borderlands 4
แม้ว่าผมจะเจอปัญหาทางเทคนิคบางประการ (ในรีวิวนี่ก็บอกไม่หมด ผมนึกไม่ทัน) แต่ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผมสนุกไปกับ Borderlands 4 จริงๆ มันยังคงเป็น Borderlands ที่ผมคุ้นเคย และคอนเทนท์ Endgame ที่กระชับแต่ยั่งยืน ก็ทำให้ผมอยู่กับมันได้เกิน 100 ชั่วโมงได้แบบไม่ยากเย็น

8


บทความอื่นๆ

อ่านช่าบ่น: "เกม" "รีวิว" "ความชอบ" และ "คุณ"

"เราอ่านรีวิวเกมกันไปเพื่ออะไร?"

Tasha Strong
Tasha (@kindest_natlala)

Who the hell is Zagreus? (Pun Intended)

"เทพบุตรแห่ง Rogue-like เป็นใครมาจากไหนตามเทพปกรณัมกรีก"

Intenseflute (@Fluteisintense on Twitter)
Intenseflute (@Fluteisintense on Twitter)

บ่น-เยอะ: ว่าด้วยเรื่อง Assassin's Creed ที่ถูกยกเลิก

"น่าเศร้าที่ Ubisoft ยังไม่กล้าพอที่จะขยับขาเดินก้าวต่อไป"

Manman02 (@InfraDom)
Manman02 (@InfraDom)

เรารู้อะไรบ้างจากข่าวการซื้อ EA

"ดีลเกมสะเทือนวงการต้อนรับท้ายปี ใครจะเป็นเจ้าของคนต่อไป"

ริโกะ 切望した (@Riko_Rikarin)
ริโกะ 切望した (@Riko_Rikarin)