อ่านช่าบ่น: เปิดโลกทัศน์ของคุณด้วยวีดีโอเกม


การที่ช่าได้ย้ายไปอยู่กรุงเมลเบิร์นเกือบสิบกว่าปี ส่งตัวเองเรียนตั้งแต่ปริญญาตรียันทำงานให้กับบริษัท มันเปิดโลกทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของช่าเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่เดิมทีเป็นลูกครึ่งไทย-ตะวันออกกลาง โตในประเทศไทยไม่กี่ปีก็ย้ายไปอยู่บ่อน้ำมัน มันก็ทำให้การมองโลกของช่าค่อนข้างที่จะแคบในสมัยวัยรุ่น
แต่พอได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับคนมากขึ้นในเมืองใหญ่ที่มีคนมาจากทุกซอกมุมของโลกใบนี้ ได้เจอความหลากหลายชนชั้นทางสังคม เศรษฐกิจ เพศสภาพ และเชื้อชาติ มันก็ทำให้ช่าได้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง misogyny (การเกลียดชังผู้หญิง) เรื่อง stereotype (เหมารวม) เรื่อง racism (การเหยียดเชื้อชาติ) ableism (พฤติกรรมเหยียดและกีดกันผู้พิการ) หรือ homophobia (อาการเกลียดหรือกลัวผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือรักร่วมเพศ)

ในหลายๆ ครั้งสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวเพราะมันมาในรูปแบบที่โดน normalized (ทำให้มันเป็นเรื่องปกติ) ในสังคมไปแล้ว พอเราได้ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้เจอะเจอผู้คนทั้งหลาย มันค่อยๆ ทำให้การเหมารวมอะไรหลายๆ อย่างมันเริ่มจางลงไป มีความเข้าอกเข้าใจคนอื่นมากขึ้นว่าทำไมการที่เรียกคนกลุ่มหนึ่งว่าอย่างหนึ่งมันเจ็บมากขนาดไหน การเข้าใจในประวัติศาสตร์ที่กดขี่ข่มเหงพวกเค้าและมองภาพรวมของสังคมที่ยังไม่เต็ม 100% กับคนหลายๆ กลุ่ม (marginalized group)
นอกจากนั้นช่าก็ยังได้มองตัวเองอีกว่าเรามีอะไรที่มันไม่แฟร์กับเราแต่ไม่เคยเอะใจไหม อย่างมุกวางระเบิด (ด้วยความเป็นลูกครึ่งอาหรับ) มุกมุสลิมที่บอกให้ไปกินหมู (ทั้งๆ ที่บ้านเป็นคริส ซึ่งก็เป็น stereotype คนอาหรับอีก) หรือมุกเป็นลูกครึ่ง แถมได้ตั้งคำถามกับตัวตนของตัวเองว่า “ฉันเป็นคนไทยหรือคนที่ไหน” ด้วยความที่แทบจะไม่ได้พูดไทยเป็นสิบๆ ปี หรือ “ตกลงฉันเป็นเพศอะไรกันแน่” ซึ่งช่าเชื่อว่าถ้าช่าไม่ได้มีโอกาสได้ย้ายไปอยู่ ช่าจะไม่ได้ตั้งคำถามเหล่านี้ในเชิงสังคมหรือกับตัวเองเลย

มันเป็นกลายเป็นว่า พอเรา humanized (มองความเป็นมนุษย์) ทุกคน เราก็จะสามารถ sympathise (เห็นใจ) พวกเค้าได้ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีประสบการณ์เป๊ะๆ เหมือนพวกเค้า
ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างในชีวิตของเราทุกคน ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถย้ายไปอยู่ต่างประเทศได้ มันเลยทำให้สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะฟอร์แมตอะไรก็ตามเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างสูง การที่เราสามารถเสพวีดีโอเกมที่เขียนโดยคนที่มาจากภูมิหลังที่แตกต่างจากเรา มันจะทำให้เราได้เห็นอะไรในมุมใหม่ๆ ได้ แต่นอกจากสิ่งใหม่ๆ ที่เราจะได้เรียนรู้ เราก็จะได้เจอได้เจอกับประสบการณ์ที่เราอาจจะมีใกล้เคียงกันกับเค้า

ช่ามองว่าวีดีโอเกมนั้นเป็นหนึ่งในสื่อที่สามารถทำอย่างนี้ได้อย่างถึงพริกถึงขิงที่สุด ด้วยความที่ว่าในหลายๆ เกมนั้นเราจะได้สวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆ มันจะทำให้เรา humanize ตัวละครที่เราเล่นและตัวละครอื่นๆ ที่เราได้พบเจอในเกม ไม่ว่าจะเป็นคนผิวดำในประเทศญี่ปุ่นในยุคที่มีการค้าทาส (Assassin’s Creed Shadow) ที่มันใหม่สำหรับเรามาก หรือเกมจากแวดวงประเทศ Southeast Asia (เอเซียอาคเนย์) อย่าง Until Then หรือ After Love EP ที่ทำให้รู้ว่าเราอาจจะไม่ได้ต่างจากคนในประเทศเพื่อนบ้านสักเท่าไหร่ ขนาดเกมที่มีความเป็น sandbox (ทำอะไรก็ได้ตามใจ) สูงอย่าง Baldur’s Gate 3 ตัวละครของเราก็ยังได้สัมผัสได้ถึงชีวิตอันบัดซบของตัวละครทั้งหลาย

เพราะนอกจากการที่วีดีโอเกมมันให้ความสุขส่วนตัวในเวลาที่เล่น มันก็ยังเป็นเครื่องมือการเข้าสังคมอย่างหนึ่งที่ทำให้เรามาพบปะพูดคุยกับคนหลายๆ คน ที่มีภูมิหลังหลากหลายต่างจากเรา การพูดคุยในเชิงแลกเปลี่ยนอย่างสนุกสนานมันก็จะช่วยให้เราได้เห็นมุมมองทั้งเกมและชีวิตของผู้คนที่เราไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของคนข้ามเพศ (Tell Me Why ก็ดี Lovely Lady RPG ก็ได้) สิ่งที่ผู้คนผิวสีต้องเจอในต่างประเทศซึ่งก็รวมคนเอเชียอย่างคนไทยด้วย (Life is Strange 2) หรือแม้กระทั่งเกมที่ทำให้ผู้คนได้เล่าเรื่องที่ตัวเองเจอมาในชีวิตจริงและมาให้กำลังใจและกัน (Silent Hill f กับสังคมปิตาในมุมของทุกเพศ)

ช่าว่ามันยังไม่สายสำหรับคนที่อาจจะปัดบางเกมตกไป เพราะมันอาจจะ “woke” (ซึ่งที่จริงแล้วแปลว่าตื่นรู้ในความไม่เท่าเทียมกันในสังคม) หรืออะไรก็ตาม ก็อยากจะเชิญชวนทุกคนก้าวข้ามผ่าน comfort zone ของตัวเองออกมา เปิดใจเล่นเกมที่เราอาจจะไม่คุ้นชินกับตัวละครหลัก ดูหนังที่อาจจะมีคนที่ต่างจากเรา หรือลองฟังเรื่องราวของพวกเค้ากันดู แล้วจะรู้ว่าในทุกความแตกต่าง มันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทุกเรามีเหมือนกัน
นั้นก็คือความเป็นมนุษย์ที่ต้องต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ในทุกๆ วันนั่นเอง







