รีวิว Mafia: The Old Country - Manman02

Manman02
Manman02

Mafia : The Old Country เป็นภาคที่ 4 ในแฟรนไชส์ Mafia อันยาวนานของค่าย 2K Games ซึ่งภาคนี้ยังคงได้ทีมงาน Hangar 13 มาพัฒนาให้เช่นเคย โดยตัวเกมจะอยู่ในเส้นเรื่องแรกสุดของไทม์ไลน์ในซีรี่ยส์ Mafia ที่จะพาเราไปยังเมืองต้นกำเนิดของกลุ่มแก๊งที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่า “แก๊งมาเฟีย” นั่นคือ ซิซิลี ประเทศอิตาลี

เซ็ตติ้งของเกมจะอยู่ในเมือง San Celeste ที่อยู่ในซิซิลี (และเป็นเมืองที่เคยปรากฏในเกมภาค 2) ในช่วงต้นๆ ของศตวรรษที่ 20 (1900s) หลายสิบปีก่อนเหตุการณ์ในภาคแรก เราจะได้รับบทเป็น Enzo Favara ชายหนุ่มที่ทำงานอยู่ในเหมืองแร่กำมะถัน โดยเกมจะพาเราไปสู่เหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงชีวิตนึงของเขา จากทำงานอยู่ในเหมือง มาสู่การเข้าแก๊งมาเฟีย และไต่เต้าจากเพียงแค่เด็กยกไวน์บ้านๆ ไปเป็นหนึ่งในลูกน้องตัวท็อปของ Don Torrisi แห่งแก๊งมาเฟีย Torrisi Family

ซึ่งก็ดูเหมือนว่า Hangar 13 จะรู้ตัวเองว่า การทำเกมเป็นแนว Open World แท้ๆ แบบ Mafia 3 น่าจะไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องสำหรับพวกเขาเท่าไหร่ The Old Country จึงกลับไปใช้การเล่าเรื่องแบบที่แฟรนไชส์เป็นมาตลอดคือการเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง ไม่มี Side Mission, Side Activity ใดๆ มาขัดจังหวะการเล่าเรื่องของตัวเอง แล้วอัด Narrative เข้มๆ เน้นๆ ดราม่าหนักๆ แอคชั่นเดือดๆ แบบที่ทีมนี้ถนัดเข้ามา ซึ่งผมก็เชื่อมือทีม Hangar 13 อยู่ประมาณหนึ่ง ว่าถ้าเป็นการเล่าเรื่องนั้น ทีมนี้ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน แม้กระทั่งภาค 3 ที่น่าจะเป็นภาคที่อ่อนที่สุดในแฟรนไชส์แล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่าการเล่าเรื่องของภาคนั้นยังถือว่าโดดเด่นและยอดเยี่ยมมากกว่าหลายๆ เกมที่ผมเคยเล่นมา

การเล่าเรื่องไม่มีโย่นโย้ ไม่ต่อความยาวสาวความยืด เนื้อเรื่องจะดำเนินไปเป็นแบบสโลป เริ่มต้นจะเนือยๆ จากการที่ต้องเล่าเนื้อเรื่องของเอนโซ่ก่อนจะเข้าแก๊งมาเฟีย แล้วหลังจากนั้นจะเริ่มไต่ระดับความสนุกขึ้นเรื่อยๆ เอนโซ่จะค่อยๆ เติบโต เรียนรู้ และตกผลึกความคิดของตัวเองตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่ในแก๊ง ซึ่งมันจับผมได้อยู่หมัด เพราะมันเล่าได้สนุกมากๆ มันมีทุกห้วงอารมณ์อยู่ข้างใน ความรู้สึกดีใจ ยินดี สนุก เศร้า และสิ่งหนึ่งที่ซีรี่ยส์มาเฟียมีมาตลอด คือ “การแก้แค้น” ซึ่งภาคนี้มันก็ยังคงไว้ซึ่งไฟแค้นอันร้อนระอุที่เอนโซ่ประสบพบเจอมา เนื้อเรื่องช่วงกลางจนถึงท้ายนั้นทำกราฟอารมณ์ผมดีดขึ้นดีดลงไม่มีพักเลย

ต้องขอขอบคุณฝีไม้ลายมือการพากย์ของนักพากย์ทุกท่านที่พากย์ได้ยอดเยี่ยมมากๆ การแสดงสีหน้า การใส่อารมณ์ในเสียง ทุกอย่างมันถึงไปหมด เหมือนผมกำลังดูหนังมาเฟียดีๆ เรื่องนึง ซึ่งต้องขอบคุณเกมเพลย์ที่ค่อนข้างซื่อสัตย์ต่อตัวเองเช่นกัน

แม้ว่าเกมเพลย์ของ The Old Country จะเข้าขั้น “เบสิค” สำหรับเกมสมัยนี้แล้ว เพราะมันก็คือเกม Cover Shooter แบบเถรตรงที่เราเคยเล่นกันไปไม่รู้กี่สิบรอบ พอเข้าคอมแบตก็เข้าที่กำบัง โผล่หัวออกมายิง แล้วก็ไปต่อ แต่ Gunplay ของมันค่อนข้างหนักแน่น ทั้งเสียงและแรงถีบของปืนที่เหมือนทำให้เรารู้สึกได้จริง และแอนิเมชั่นของศัตรูตอนถูกยิงก็ทำได้ดีมากๆ ผมชอบเวลาศัตรูโดนยิงตรงไหนก็จะเจ็บตรงนั้น รวมถึงตอนโดนยิงตายก็จะลงไปนอนดิ้นบนพื้นอยู่พักนึงก่อนที่จะนิ่งไป แม้ว่า AI ของศัตรูจะแปลกๆ ในบางครั้ง แต่มันก็มีการแยกหน้าที่ชัดเจน ใครใช้ไรเฟิลระยะไกลก็จะอยู่ไกลๆ ส่วนพวกที่ใช้ลูกซองก็จะคอยวิ่งเข้ามากดดันเราอยู่เรื่อยๆ ทำให้เราไม่สามารถอยู่ในกำบังเดิมตลอดไปได้ บวกกับการที่ตัวเกมอยู่ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อาวุธที่เราใช้อยู่ก็เป็นอาวุธปืนโบราณๆ แบบลูกโม่ที่ต้องโหลดทีละนัด, ลูกซองแฝด ปืนไรเฟิลแบบ Bolt-Action ชักยิงทีละนัด อะไรแบบนี้ มันจะให้ความรู้สึกว่าคอมแบตมันช้าๆ แต่ก็หนักแน่นและเด็ดขาด แต่ตัวเกมก็มีออพชั่นอัพเกรดตัวละครด้วยการใส่ “เครื่องราง” ที่จะปรับปรุงค่า Status ของคุณในบางอย่าง เช่นเพิ่มความเสียหายของอาวุธปืน, ทำให้พกกระสุนปืนบางประเภทได้เยอะขึ้น, ลดเวลารีโหลดปืน อะไรแบบนี้ ซึ่งมันครอบคลุมเกมเพลย์ทุกรูปแบบ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คุณเสียอรรถรสอะไรไป

แต่กระนั้น ถ้าคุณไม่อยากเอาตัวเข้าไปปะทะกับลูกตะกั่ว เกมก็มอบออพชั่น “Stealth” มาให้ คุณสามารถออกจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งโดยที่ไม่ปะทะกับศัตรูได้ แต่ก็จะมีบางช่วงของเกมที่จะบังคับให้เรา Stealth เท่านั้น ซึ่งลูกเล่นของมัน ก็ไม่ได้หวือหวาอะไร AI ไม่ได้ฉลาดเป็นกรด เราสามารถใช้เหรียญ หรือใช้ขวดเปล่าๆ ตามฉากเพื่อเบนความสนใจศัตรูได้ และเราก็สามารถ Takedown ศัตรูได้ โดยมีสองออพชั่นให้เลือกคือจะรัดคอจนหมดสติ หรือเอามีดพกในตัวเราจิ้มให้ตายเลยก็ได้ และเราก็สามารถ Loot ศพเพื่อหาเงิน, กระสุน หรืออุปกรณ์ใช้งานอื่นๆ ได้ แถมยังสามารถลากศพไปซ่อนในหีบตามฉากเพื่อกันเพื่อนของพวกมันมาหาเจอได้อีกตะหาก ถ้าคุณเลือกที่จะใช้การรัดคอก็จะมี Quick time event มาให้กดปุ่มรัวๆ เพื่อให้ศัตรูหมดสติ แต่ถ้าเราเลือกใช้มีดพก ก็จะไม่มี QTE แต่มีดเราจะเสียความคมแทน

ใช่ครับ เกมนี้เราจะมีอาวุธระยะประชิดเป็นมีดพก และมันมี “ความคม” หากเราเอามีดไปใช้ทำอะไรก็ตาม เช่นสะเดาะกลอนประตู, แงะกล่องเก็บของตามฉาก หรือแม้กระทั่งใช้มันฆ่าศัตรู มันจะเสียความคม โดยมีดพกของเราจะมีสามประเภทใหญ่ๆ คือแบบที่ใช้ปาศัตรูได้, แบบที่ Takedown ศัตรูระหว่างกันไฟต์ได้ และแบบที่มีค่าความคมเยอะๆ ใช้สอยได้บ่อยๆ ซึ่งหากความคมของมีดใกล้จะหมด คุณใช้มีดไม่ได้เลย ก็ต้องเอา “หินลับมีด” ที่หาได้จากในฉากหรือจากการลูทศัตรู มาลับให้ความคมกลับมา (คุ้นๆ มั้ย….นั่นแหละ) ผมชอบการใส่ดีเทลเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มาก แต่เอาจริงๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ในหลายๆ ครั้ง ที่พอฆ่าศัตรูจนหมดผมก็ต้องมาไล่ลูทศพเพื่อหาเงินไปซื้อของ และเงินก็หายากเสียเหลือเกิน

ในเกมจะมีช่วงที่เราต้องดวลมีดกับตัวละครอื่นแบบตัวต่อตัว อารมณ์เหมือน Bossfight น่ะครับ โดยเกมจะยกเอาแมคคานิค Melee Combat จากภาค 2 มาปรับปรุงใหม่ เราสามารถ Parry, หลบ และสวนกลับได้ ซึ่งช่วงแรกๆ ผมก็รู้สึกสนุกกับมัน แต่พอผ่านไปซักพักผมก็เริ่มจับไต๋ได้ว่า เวลาเอนโซ่ได้รับมอบหมายให้ไปจัดการใครซักคน ก็มักจะจบลงที่การดวลมีดทุกครั้งเลย แต่ก็ยังดีที่ Movement ของบอสแต่ละคนก็ไม่ได้เหมือนกันไปหมด เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันซ้ำซากเท่าไหร่

แม้ว่าเกมมันจะเป็น Linear อย่างที่ผมกล่าวไป แต่เกมมันก็ยังมีบางช่วงที่จะให้เราต้องเดินทางด้วยตัวเอง เราก็สามารถเลือกได้ว่าจะเดินทางด้วยม้า หรือรถ ซึ่งเราสามารถเลือกซื้อ และแต่งสี (รถ) ได้ด้วยครับ ตัวเกมจะไม่มี Minimap แต่เกมจะบอกว่าคุณจะต้องไปยังจุดหมายยังไงด้วยป้ายบอกทางสมมติเวลาคุณถึงทางแยก ว่าคุณต้องเลี้ยวซ้าย ขวา หรือตรงไป (หรือชี้ย้อนกลับหากคุณมาผิดทาง) ซึ่งมันเป็น Mechanic ที่ซีรี่ยส์นี้ใช้มาอย่างยาวนาน และผมก็ชอบมากๆ ที่ต่อให้เป็นภาค Prequel เขาก็ยังหยิบมาใช้

แต่มันกลับมีจุดที่ทำให้ผมหงุดหงิด ก็คือพอมันไม่มีมินิแมพ แต่พวก Collectibles ต่างๆ ดันมีอยู่นอกจุดที่เราต้องออกนอกลู่นอกทางไปหาเอง แถมมันไม่ได้โผล่ขึ้นมาทันทีด้วย เราต้องไปอยู่ในพื้นที่ที่มีมันก่อนถึงจะโผล่มา ผมเลยต้องกด Pause เพื่อดูแผนที่อยู่เรื่อยๆ แถมบางชิ้นจะบังคับเฉพาะเลยว่า เราต้องมาเก็บมันใน Chapter นี้นะ แต่ใน Chapter นั้นเราไม่ได้ไปที่นี่ ก็กลายเป็นว่าผมต้องย้อนกลับมาเล่น Chapter นี้ใหม่เพื่อมาเก็บ Collectible ชิ้นนี้ เป็นแนวทางในการวางจุดเก็บของที่ค่อนข้างแปลกเหมือนกันสำหรับผม

งานภาพและเสียงนั้น ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องน่าห่วงสำหรับเกมนี้ที่ใช้ Unreal Engine 5 ในการพัฒนา ผมชอบการเกรดสีที่ให้อารมณ์แบบอิตาลีในช่วงหน้าร้อนมากๆ ดีเทลตึกรามบ้านช่องก็ทำได้ดี ต้นไม้ใบหญ้าพลิ้วไหวตามสายลม ฝุ่นตีขึ้นมาเวลารถวิ่ง หรือเวลาห้อม้า ดีเทลของตัวรถ เสื้อผ้าหน้าผมตัวละคร ก็ทำออกมาได้ดีไปหมด ด้านงานเสียง งานพากย์ผมพูดไปแล้ว เสียงปืน เสียงรถยนต์ ก็ยอดเยี่ยม เพลงประกอบที่ได้คุณ Brian Transeau ที่เคยฝากผลงานกับหนัง The Fast and the Furious และ Monster มาเป็นคอมโพเซอร์ให้ และถ่ายทอดออกมาผ่านทางฝีไม้ลายมือของ Czech National Symphony Orchestra ก็ถ่ายทอดความเป็น “มาเฟียอิตาลี” ให้ออกมาชัดมากขึ้น ผมไม่มีข้อกังขาใดๆ เกี่ยวกับงานภาพและเสียงเลย

โดยรวมนั้น Mafia : The Old Country เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์อันแสนสั้น แต่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ผมใช้เวลาราวๆ 17 ชั่วโมงในการเล่น เก็บของไม่หมด 100% แต่ก็ถือว่าอิ่มมากๆ แล้วสำหรับผม ด้วยเนื้อเรื่องที่หลากรส หลากอารมณ์ มีขึ้นไปสุด และดิ่งลงมาสุด ไม่มีจุดที่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย แม้ว่า Core Gameplay จะค่อนข้างพื้นฐาน หากคุณมองมันใน “มาตราฐานของเกม AAA สมัยใหม่” แต่ผมว่าเกมเพลย์หลักมันเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะสิ่งที่ Hangar 13 ถนัด และทำมาตลอด ก็คือส่งมอบเรื่องราวการชิงเหลี่ยมกัน ของกลุ่มคนที่มีอิทธิพลที่สุดในสังคมในอดีต ที่เรียกว่า “มาเฟีย” นั่นเอง ซึ่งเกมนี้ทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัยอยู่มหาลัยที่กำลังเบียวๆ Katekyo Hitman Reborn เลย


Final Score: 8/10


บทความอื่นๆ

เพิ่งเล่นจบ #25: Wuchang: Fallen Feathers

"กดมาเอาฮา กะว่าถ้าเล่นไม่ได้ก็แค่ refund ไม่คิดว่ามันจะดีขนาดนี้ นับว่าเป็น Soulslike ที่ดีเทียบเท่าเกม FromSoftware ได้เลย"

Tasha Strong
Tasha Strong

เพิ่งเล่นจบ #24: s.p.l.i.t.

"เกมแนว Psychological Horror ที่มีอาร์ตสไตล์ที่จัดจ้าน กันเนื้อเรื่องสุดหดหู่ที่คุณสามารถเล่นจบผ่านใน 2 ชั่วโมงกับราคาอันย่อมเยา"

Tasha Strong
Tasha Strong

Donkey Kong Bananza: ความมันส์ทะลุปฐพี

"Donkey Kong Bananza ไม่ใช่แค่การผจญภัยครั้งใหม่ แต่คือการนิยามเกมแพลตฟอร์ม 3 มิติใหม่อีกครั้ง"

ทรี
ทรี

#มู่กิการละเกมส์: Galaxy Burger

"หากเหนื่อยล้า พาหัวใจไปทำอาหารแบบผ่อนคลายไปกับ Galaxy Burger กันเถอะ"

MeltBul2N
MeltBul2N