เพิ่งเล่นจบ #17: Lost Records: Bloom & Rage



The Nerd & The Blue Haired Lesbians
ตอนที่ช่ายังไม่เจอว่าตัวเองคืออะไร ยังเป็นเด็กน้อยวัย 18 ที่ยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเอง ช่าได้มีโอกาสเล่นเกม coming of age เล็กเกมหนึ่ง ที่มีระบบลิปซิ้งที่นรกมาก จากสตูเล็กๆ ที่ผลิตให้ Square Enix

Life Is Strange มันเป็นเกมเปลี่ยนโลกช่าโดยสิ้นเชิง มันเป็นเกมที่ทำให้ช่าเริ่มรู้ตัวตนของช่า ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่ชอบฟัง หนังที่ชอบดู การแต่งตัว หรือแม้กระทั่งรสนิยมและอัตลักษณ์ทางเพศของช่า และยังเป็นอีก interactive adveture เกมที่ขึ้นหิ้ง ทำให้ช่ากลายเป็นหนึ่งในแฟนคลับสตูดิโอฝรั่งเศสที่จะเจ๊งแหล่ไม่เจ๊งแหล่อย่าง Don’t Nod และตามเล่นเกมของสตูดิโอนี้มาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคต่อ anthology ที่สุดจะปวดตับอย่าง Life is Strange 2 หรือจะเป็น honorary Life is Strange หลังจากหักจากค่ายเหลี่ยมที่ทำให้เราเสียน้ำตาเป็นแกลลอนอย่าง Tell Me Why หรือเกมแวมไพร์ RPG แบบ Vampyr ค่ายนี้ก็จัดเกม AA โหดๆ มาเรื่อยๆ ถึงแม้จะมีปัญหา technical เยอะก็ตามแต่

Going Back to the Root
หลังจากที่ต้องผิดหวังอย่างมากกับ Deck 9 ด้วย Life is Strange: True Colors ที่มันเริ่มชัดว่าทีมงานนี้กินบุญเก่า แล้วมาเจอการพยายามที่จะทำจักรวาล Life is Strange สไตล์ MCU กับ Double Exposure มันก็ทำให้เราและแฟนคลับหลายคนหมดศรัทธากับซีรี่ส์นี้ไปโดยปริยาย ซึ่งมันก็เศร้ามากๆ เพราะมันมีความหมายต่อใจเราสุดๆ

แต่ช่าก็ไม่ได้หมดหวังเพราะในขณะที่ Square Enix กำลังโปรโมท Double Exposure ทีมงาน Don’t Nod ก็กำลังโปรโมท Lost Records: Bloom & Rage เช่นเดียวกัน ซึ่งมองด้วยตาเปล่าใครๆ ก็ดูออกว่านี่คือการทำเกมแนว coming of age ที่มีกลิ่น Life is Strange แบบ spiritual sequel ด้วย vibe หลายๆ อย่างที่มัน “ใช่” มากๆ เหมือนกับว่าเนี่ยแหละ ทิศทางที่ซีรี่ส์นั้นควรจะเป็น
และการได้มาเล่นเกมนี้จริงๆ หลังจากที่ดองมาเป็นเดือน มันก็เหมือนได้เจอกับเพื่อนเก่าในเวอร์ชั่นที่เค้าเจ๋งขึ้นมาก กับการเล่าเรื่องที่กระชับกว่าเดิมที่ยังทำให้เราปวดตับน้ำตานอง เพลงเพราะๆ ที่มีการเลือกและแต่งใหม่มาอย่างดี และตัวละครสาวน้อยทั้ง 4 ที่น่าเอ็นดู มันทำให้ Lost Records: Bloom & Rage เป็นอีกเกมที่ไม่ควรพลาดในปีนี้

Riot Grrrrrrrrrrrrrrrrl!!!!!
มองดูผ่านๆ Lost Records เป็นเกมที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเยอะ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการรียูเนี่ยน 4 สาวพังค์เพื่อนซี้ในปี 2022 หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมา 27 ปี รําลึกถึงความหลังหน้าร้อนปี 1995 แต่สิ่งที่แปลกก็คือว่า พวกเค้าที่รักกันปานจะแหกตูดดม ดันทำคํามั่นสัญญากันไว้ว่า ชาตินี้จะไม่เจอกันอีก แถมยังเริ่มด้วยว่า พูดกันทำไมฟ่ะ

การปูมาง่ายๆ แค่นี้มันก็ set ไว้แล้วว่าเกมนี้มันต้องเศร้าหนัก การที่รู้อยู่แล้วว่าจุดจบของเด็กสาวสี่คนมันต้องมีน้ำตา มันก็ทำให้ฉากหลายๆ ฉากที่ทำให้เรายิ้มและหัวเราะไปกับพวกเค้า มีความอึนอย่างสูงเพราะรู้ว่าหน้าร้อนปีนี้จะเป็นหน้าร้อนปีสุดท้ายที่เด็กเหล่านี้จะได้กอดคอร้องเพลงไปด้วยกัน ขนาดเราที่ตอนนี้กำลังพิมพ์ให้อ่านยังรู้สึกเสียใจอยู่เลยเนี่ย

แคสสี่คนหลักของเกมนี้ก็เป็นวัยใสน่ารัก (และน่าถีบด้วย 555+ กวนทรีนทุกคน) สี่คน สี่บุคลิก ที่มีใจรักความพังค์และความกบฏและความที่โดนสังคมต่อต้านและมองด้วยหางตา ตามสไตล์ Riot Grrrl ในยุคนั้น แถมยังก่อตั้งวง Bloom & Rage
- Swann ตัวหลักของเรื่อง (เราจะได้รับบทเป็นแม่สาวน้อยคนนี้) สาวขี้อายที่มีใจรักหนังและการถ่ายหนัง ไม่ค่อยโดดเด่นที่โรงเรียนและโดนแกล้งบ่อยๆ ตากล้องของวง Bloom & Rage
- Nora สาวห้าวพังค์จัด เป็นคนอารมณ์ดี เฮฮา ขี้หลี ออกแนวสำมะเลเทเมา แต่จิตใจดี เป็นมือกีต้าร์และร้องนำวง Bloom & Rage
- Autumn สาวคูล นักสเก็ตและเกมเมอร์ตัวยง มือเบสวง Bloom & Rage ใจดี เหมือนพี่ใหญ่ของวง (ถึงแม้เด็กกว่า Nora) แต่มีความวิตกกังวลสูง
- Kat สาวสายบวก ตัวเล็กใจใหญ่ พร้อมไฟต์ตลอดถ้ามีใครทำอะไรเพื่อน มีความเป็นนักกวีและเป็นคนเขียนเพลงให้วง Bloom & Rage

ส่วนตัวแล้วช่าชอบการที่เกมให้เราได้รู้จักตัวละครผ่านการแต่งตัว สิ่งที่ตัวละครพกติดตัวไปมาตลอด การตกแต่งบ้านหรือห้องน้องหรือจาก dialogue เล็กๆ เวลาที่ทุกคนคุยกัน เกมนี้มันแตกต่างจากเกม interactive adventure เกมอื่นๆ ตรงที่ว่าอยู่ดีๆ จะให้เราตอบ ambient dialogue ซึ่งอีการพูดคุยเล็กๆ เหล่านี้ มันทำให้เราเหมือนได้คุยกับทุกคนและเห็นความคิดของแต่ละคนได้มากขึ้น ที่ขาดไม่ได้ เกมนี้มีอย่างหนึ่งที่เริ่มเห็นในเกมมากขึ้นในเกมปีนี้ นั้นก็คือการที่ตัวละครพูดสวนกันบ่อย ไม่ว่าจะตอนเล่นมุก ตอนทะเลาะกันหรือตอนที่เศร้าด้วยกัน มันออกมาได้ธรรมชาติมากๆ

ถ้าใครได้ดูตัวอย่างหรือคุ้นชินกับเกมสไตล์ Don’t Nod ก็จะรู้ว่ายังไงเกมสตูดิโอนี้ต้องมี supernatural elements ที่เข้ามาช่วยการเล่าเนื้อเรื่องและธีมหลักของตัวเอง ซึ่งอีตรงนี้จะเป็นอะไรที่เนื้อเรื่องและทีมงานจะไม่ได้เจาะลึก ให้เราเอาไปคิดเอาเองในบางเรื่อง ถึงแม้ช่าจะพยายามจะไม่สปอยเนื้อหาเกมนี้เยอะ (เพราะมันอึ้งมากๆ ตอนที่เราจับทางได้ว่าเค้าอยากเล่าอะไร) ช่าก็อยากให้คนที่ไม่เคยเล่นเกม Don’t Not เตรียมใจไว้ว่า “บางอย่างค่ายนี้ตั้งใจเล่าแบบปลายเปิด” ละกัน

Lights, Camera, Action
ในฐานะที่เราได้เล่นเป็นเป็นตากล้อง แน่นอนว่าเราจะได้ถ่ายวีดีโอเยอะแยกมากในเกมนี้ ระบบถ่ายวิดีโอเป็น collectible หลักของเกมนี้ ที่เราสามารถให้น้อง Swann ถ่ายวิว ของเล่น ร้านค้า แมวตัวเอง หรือแม้กระทั่งคนในวง พอเราถ่ายครบที่จะทำ “Memoirs” ได้แล้ว เกมก็จะให้เราย้อนดู และตัดต่อวีดีโอที่เราถ่าย โดย Swann จะบรรยายความรู้สึกของเธอ หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อเรื่องมากขึ้น ซึ่งเราแนะนำให้ถ่ายให้ครบให้ได้มากที่สุด

แต่ถ้าใครพลาดหรืออยากเก็บ achievement ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องถ่ายใหม่ทั้งหมด Don’t Nod ได้เรียนรู้จักการทำเกมแนวนี้มันเยอะมากๆ และให้ “collectible mode” เราด้วยเฟ้ย ซึ่งในโหมดนี้เราจะได้ถ่ายสิ่งที่เราพลาดไปได้อย่างง่ายได้เลยแหละ

และอีกอย่างที่ชอบมากๆ ในเกมนี้คือการที่เราสามารถหยิบของขึ้นมาแล้วหมุนได้ เพราะดีเทลหลายจุดที่ใบ้เนื้อเรื่อง หรือเพิ่ม context ตัวละคร มันจะซ่อนไว้ในของเหล่านี้ที่เห็นได้ตามแมพ มีตัวอย่างให้ยกเยอะมาก มันจะออกแนวสปอยไปเลยถ้าพูดถึงมัน อยากให้คนที่ได้เล่นพยายามมองและอ่านโน้ต จดหมาย และสิ่งของบ่อยๆ ในเกมนี้ ทีมงานใส่ใจมากๆ

The Justified Rage
ช่าอยากเตือนคนที่เริ่มสนใจที่จะเล่นว่า เกมนี้เป็นเกมที่หนัก แหละมีธีมเกี่ยวกับ trauma bonding, domestic abuse และ bullying ที่ทำออกมาได้รู้สึกถึงความให้เกียรติตัวละคร คนเล่น และคนหลายคนที่อาจจะได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ ชอบการที่ Don’t Nod ใช้ความใสและความรักของเพื่อนทั้งสี่ ช่วยในการเล่าเนื้อหาอย่างนี้มากๆ มันทำให้คนที่เล่นอย่างเรารู้สึกถึงความเข้าใจของทีมงาน เหมือนกอดอุ่นๆ ให้กำลังใจผู้เล่นที่อาจจะรีเลทกับตัวละครเหล่านี้ได้

ใครเป็นไมเกรนเพราะร้องไห้แบบเราก็ระวังด้วย เหมือนหมาบอกเลย
Awh, shucks
อวยขนาดนี้ ก็มีที่ช่าติดขัดนิดๆ แหละ แต่ไม่ได้เยอะอะไรมาก
อย่างแรกเลยคือ Don’t Nod ก็ยังมีปัญหา technical ได้เสมอต้นเสมอปลายมาก 555+ คือบางครั้ง animation ของตัวละครมันจะเริ่มกลางคัน เหมือนมันมีดีเลย์ในคิวของสิ่งที่ตัวละครต้องทำ ก็พอเค้าใจเพราะว่าตัวละคนจะมี instruction ให้พูดนู้นนี้ บางครั้งถ้าเราฟังไม่ครบ ตัวละครจะเริ่มทำตัวแปลกๆ และขยับเหมือนโดนผีเข้า

อีกอย่างที่ก็ยังเสมอต้นเสมอปลายในทางที่ไม่ค่อยดีก็คือเรื่องลิปซิ้ง Life is Strange ปี 2015 นรกขนาดไหน Lost Records ก็ยังคงความนรกได้เหมือนเดิมเด๊ะ

มันก็น่าหงุดหงิดที่อะไรเล็กๆ แบบนี้ Don’t Nod ก็ยังพลาดซะงั้น อาจเป็นเพราะงบประมาณเพราะช่วงนี้ค่ายก็มีข่าวเรื่องขาดทุน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกเสียดายน้อยลง ชิชะ

See You In Hell!!!
การได้เล่น Lost Records มันเหมือนการได้ดูหนัง coming of age ดีๆ สักเรื่อง นึกถึงตอนได้ดู Stand By Me หรือ Submarine มากๆ ถึงแม้เราจะเป็นคนวัย 28 เข้า 29 การที่ได้เห็นวัยรุ่นทำตัวสมกับเป็นวัยรุ่นมันก็ทำให้เรายิ้มมุมปาก ดีใจไปกับพวกเค้า เชียร์พวกเค้า และเศร้าเมื่อพวกเค้าเสียใจได้

ไม่ได้พูดเว่อร์เลย แต่บางครั้งเวลาเล่นหรือดูอะไรแบบนี้ ก็อยากมีเพื่อนแบบนี้สมัยนั้นนะ โดนแกล้งบ่อยมาก เป็นปมแหละ เวลามาดูอะไรอย่างนี้มันเลยฮีลใจมากๆ
เกมนี้เป็นเกมที่ไม่ได้ perfect และอย่างที่บอกสไตล์ Don’t Nod อยู่แล้ว บางอย่างพี่แกก็ปลายเปิดซะ 555+ แต่มันดีต่อใจเรามากและถูกใจเราอย่างลึกซึ้งเลยแหละ
Lost Records: Bloom & Rage อยู่ใน PS Plus Extra และ Steam หรือจะซื้อผ่านและเล่น Xbox ก็ได้นะคะ

9/10