Baldur’s Gate 3: จดหมายรักแด่ผู้คนอันหลากหลาย

ริโกะ 切望した
ริโกะ 切望した

หากพูดถึงเกม pen-and-paper หรือเกมที่ใช้แค่กระดาษกับปากกา ชื่อแรกที่โผล่เข้ามาในใจคงหนีไม่พ้น D&D (Dungeons & Dragons) ด้วยโลกที่เปิดกว้างและเต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ไม่ว่าคุณจะอยากเป็นคนแคระ มังกร หรือเจ้าของร้านอาหารที่ต้อนรับนักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศ โลกใบนี้ก็พร้อมมอบพื้นที่ให้คุณได้เป็นในสิ่งที่ใฝ่ฝัน

และตำนานบทนี้ได้ถูกสานต่ออย่างงดงามใน Baldur’s Gate 3 เกมล่าสุดในจักรวาล D&D ที่ครองใจผู้เล่นมากมายในปี 2023 ด้วยเรื่องราวอันเข้มข้น น่าหลงใหล และงดงามราวกับบทกวี จนบางครั้งก็ทำให้เรานั่งร้องไห้ หรือหัวเราะอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ได้เป็นชั่วโมง โดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

ความแตกต่างที่อยู่ร่วมกันได้ (หรือเปล่า ?)

หรือว่าเรากำลังจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3?

คงเป็นประโยคที่พบเห็นได้บ่อยในหมู่ชาวเน็ตผู้รักการการอ่าน อาจฟังดูเกินจริง แต่เมื่อมองไปรอบตัว เรากลับ พบว่าคำพูดนี้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงอย่างน่าประหลาด ด้วยสารพัดปัญหาอย่างเชื้อชาติ ศาสนา หรือความ เชื่อส่วนบุคคล ความแตกต่างนี้กลับกลายเป็นเส้นแบ่งที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าใจกันได้อีกต่อไป

Baldur’s Gate 3 หยิบเอาประเด็นเหล่านี้มาสะท้อนผ่านตัวเกมได้อย่างกลมกล่อม ผ่านเผ่าพันธุ์ (races) ที่เปิด ให้ผู้เล่นเลือกได้ถึง 11 เผ่า และหากนับรวมเผ่าพันธุ์ย่อย (subraces) ก็มีให้เลือกถึง 31 แบบด้วยกันเลยทีเดียว แต่ละเผ่าต่างมีวัฒนธรรมและประวัติความเป็นมาที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างเผ่าที่อาศัยอยู่ในโลกใต้ดินก็ดูจะไม่ ค่อยถูกโฉลกกับชาวพื้นดินสักเท่าไหร่นัก

ประเด็นเรื่องการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ (racial discrimination) จึงถูกจุดประกายขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแม้ในโลกของเกม เรายังสัมผัสได้ถึงอคติที่แทรกซึมอยู่ในหลายบทสนทนา หากมองย้อนกลับไป โลก แห่งความจริงเองก็เต็มไปด้วยขบวนการเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียม ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม เพราะ ท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนก็เป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ทุกคนล้วน แตกต่าง ไม่ต้องไปไกลถึงสงคราม แค่ในห้องเรียนหรือที่ทำงานก็เป็นตัวอย่างชั้นดีของความแตกต่างที่ต้องหา ทางอยู่ร่วมกันแล้ว

Drow vs. Elf เผ่าพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดใกล้เคียงกัน แต่กลับมีวัฒนธรรมที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

แล้ว Baldur’s Gate 3 ให้อะไรเราในเรื่องนี้?

ไม่ถึง 30 นาทีแรกของเกม เราก็ได้สัมผัส ‘ความแตกต่าง’ ครั้งแรก ผ่านเพื่อนร่วมปาร์ตี้หลากเผ่าพันธุ์ ปฏิกิริยา ของแต่ละตัวละครก็จะแตกต่างไปตามเผ่าที่เราเลือก อย่างชาว Githyanki ก็ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก และยังมีนิสัยหยิ่งทระนงคิดว่าเผ่าพันธุ์ของตนสูงส่งกว่าใครอื่น นอกเสียจากว่าเราจะเป็นชาว Githyanki ด้วยกัน ถึงจะได้รับการปฏิบัติที่เป็นมิตรกลับมา

อีกหนึ่ง ‘ความแตกต่าง’ ที่เห็นได้ชัดคือการตอบสนองจากเหล่า NPC ระหว่างทาง หากผู้เล่นเลือกเผ่าใต้ดิน อย่าง Drow ก็อาจเจอกับการเลือกปฏิบัติตั้งแต่ต้นเกม เรียกว่าต่อให้ตั้งใจเล่นเป็นคนดีแบบสุด ๆ NPC บางคน ก็ยังพูดจาถากถางเราอยู่ดี ในขณะที่เผ่าใกล้เคียงอย่าง Elf มักได้รับการต้อนรับที่เป็นมิตรกว่า แม้ว่าจะตั้งใจเล่นเป็นคนชั่วช้าไปสักหน่อยก็ตาม….

แต่ก็ใช่ว่าเผ่าใต้ดินจะถูกตีตราในทุกสถานที่ การเล่นเป็น Drow อาจช่วยให้ผูกมิตรกับ NPC บางกลุ่มได้ง่าย กว่าเผ่าอื่น หรือในบางฉาก การเป็น Drow ก็ทำให้เราผ่านฉากนั้นไปได้โดยไม่ต้องออกแรงสู้เลยด้วยซ้ และเมื่อเดินทางมาถึง Act 3 หรือองก์สุดท้ายของเกม เราจะได้เห็นการรวมตัวของเผ่าพันธุ์ที่หลากหลายจนแทบไม่รู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหนมาตลอด แต่เมื่อเข้าสู่เมืองหลวงอย่าง Baldur’s Gate ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็มีที่ยืนให้เสมอ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม ทั้งหมดนี้ทำให้ Baldur’s Gate 3 ทำหน้าที่ราวกับกระจกสะท้อนโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่บางคนยังไม่พร้อมจะรับความแตกต่าง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่มองเห็นคุณค่าของความหลากหลาย และโลกใบนี้ยังมีมุมหนึ่งที่พร้อมต้อนรับเราเสมอ

เทพเจ้าของฉันดีกว่าเทพเจ้าของเธอ

รูปปั้นเทพเจ้า Shar ผู้ไม่ค่อยเป็นที่รักของชาวโลกเท่าไหร่นัก

สำหรับสายนักบวชหรือ Cleric ทั้งหลาย คงเข้าใจดีว่าการเลือกเทพเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในเกมนี้มี เทพเจ้าให้เลือกนับถือถึง 23 องค์ด้วยกัน และเมื่อผู้คนต่างความเชื่อ ต่างศรัทธา ต้องมาอยู่ร่วมกันความขัดแย้งจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

ในชีวิตจริง ความเชื่อไม่ว่าจะเป็นความเชื่อส่วนบุคคลหรือศาสนาล้วนเป็นดาบสองคม มันสามารถเป็นทั้งความหวังและหลักยึดในชีวิต แต่ในบางครั้งกลับกลายเป็นตัวจุดชนวนสงคราม บางศาสนาแม้อยู่ภายใต้ร่มเดียวกันก็ยังมีนิกายย่อยที่มีคำสอนแตกต่างกันออกไป ความเข้าใจซึ่งกันและกันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

ในโลกของ Baldur’s Gate 3 ก็เช่นกัน ผู้เล่นจะได้สัมผัสถึงความขัดแย้งของเทพเจ้า 2 องค์อย่าง Shar และ Selune รวมไปถึงเหล่าผู้นับถือ ที่เมื่อเห็นเทพเจ้าของอีกฝ่ายทีไร ก็มักจะแอบคิดในใจอยู่ลึก ๆ ว่า ‘เทพของฉันดีกว่าเทพของเธอตั้งเยอะ’

Shar และ Selune คือสองเทพเจ้าพี่น้องที่ขัดแย้งกัน จนต่างออกมาตั้งนิกายแยกเป็นของตัวเอง ในขณะที่ Shar แสดงออกถึงความมืดหม่น และแสงจันทร์ที่ดับสูญ Selune ก็เป็นดั่งตัวแทนของแสงจันทร์ที่สว่างไสว ความแตกต่างนี้ส่งผลให้หลักคิดของทั้งสองนิกายแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เหล่าผู้นับถือ Shar ถูกปลูกฝังให้เกลียดชังผู้บูชา Selune อย่างเห็นได้ชัด ผ่านตัวละครหลักขวัญใจหลาย ๆ คนอย่าง Shadowheart

ความเกลียดชังนี้เผยออกมาอย่างชัดเจนใน Act 2 ผ่านเมืองรกร้างที่เคยถูกกวาดล้างผู้เห็นต่างทางศาสนา และในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ตัวละครอย่าง Shadowheart เริ่มตั้งคำถามกับศรัทธาที่เคยยึดมั่น ว่าความเชื่อที่มีนั้นยังสอดคล้องกับตัวตนของเราอยู่ไหม หรือแท้จริงแล้ว เราแค่เชื่อในสิ่งที่ใครบางคนเคยสอนให้เชื่อ?

ภาพด้านในของร้าน Stormshore Tabernacle แหล่งแวะเวียนสักการะของผู้เคารพนับถือในเทพเจ้าทั้งหลาย

ตัวเกมเองก็ไม่ได้นำเสนอแค่ภาพของความแตกแยกเท่านั้น หากแต่ยังมีสถานที่อย่าง Stormshore Tabernacle ที่พร้อมเปิดพื้นที่โอบรับผู้คนจากทุกศาสนา ไม่ว่าเทพองค์นั้นจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่หรือดีงาม ที่แห่งนี้ก็พร้อมต้อนรับทุกคนเสมอ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว อาจไม่มีเทพเจ้าองค์ใดที่ประเสริฐกว่าเทพเจ้าองค์อื่น หากเราต่างยอมรับว่าทุกศรัทธาล้วนมีคุณค่า โลกใบนี้ก็คงกว้างพอที่จะมีที่ยืนสำหรับทุกคน

เมืองหลวงแห่งผู้อพยพ

Rivington เมืองหน้าด่านที่รับผู้อพยพจากทั่วทุกสารทิศ และเป็นเมืองแรกที่ผู้เล่นจะได้เล่นหลังเข้า Act 3 ด้วย

เมื่อเราเดินทางมาถึง Act 3 ก็เรียกได้ว่าใกล้ถึงปลายทางของการผจญภัยแล้ว และเริ่มเข้าใกล้หัวใจของเกมอย่าง Baldur’s Gate เมืองหลวงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลากหลาย ความหวัง และความขัดแย้ง

จากความวินาศสันตะโรที่เกิดขึ้นระหว่างทางทำให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมเมืองต่างแสวงหาที่หลบภัย ณ ที่แห่งนี้ แต่การจะเข้าสู่ Baldur’s Gate กลับไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ทุกคนต้องผ่านเมืองหน้าด่านอย่าง Rivington เสียก่อน หากลองหยุดคุยกับเหล่า NPC เราจะได้พบกับความคิดเห็นที่หลากหลาย บ้างก็แสดงความเห็นอกเห็นใจ บ้างก็หวาดกลัวว่าผู้อพยพจะนำความวุ่นวายมาสู่เมือง ชนกลุ่มน้อยอย่างเผ่า Tiefling ถูกผลักไสให้อยู่นอกเมืองหลวง ต้องตั้งกระโจมอยู่ชานเมืองเพียงเพราะรูปลักษณ์และเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง

แม้จะฝ่าด่านอันโหดหินเข้ามาในเมืองหลวงอย่าง Baldur’s Gate ได้แล้ว เหล่าผู้อพยพก็ยังต้องเผชิญกับแถวเข้าเมืองที่ยาวเหยียด หากพวกเขาต้องการเข้าไปในเขตชั้นในที่ปลอดภัยมากขึ้น เสมือนโลกกำลังบอกกับพวกเขาว่า “ยังไม่มีที่สำหรับคุณในตอนนี้”

อย่างไรก็ตาม เมื่อก้าวเข้าสู่ใจกลางเมือง ภาพของความหลากหลายก็เริ่มปรากฎชัด เช่น เผ่ามังกรที่ออกมาเปิดร้านค้าขายอาวุธ หรือแม้แต่เหล่า Drow ที่แม้จะมีชื่อเสียงไม่ดีบนดิน ก็ยังมีที่ทางของตนในคลับกลางเมือง ผู้คนบางส่วนอาจยังสบประมาท แต่ก็มีอีกหลายส่วนที่ดูจะไม่ได้มีอคติทางเผ่าพันธุ์มากเท่าไหร่นัก เพราะในโลกที่ใกล้ล่มสลายนี้ เราทุกคนต่างกำลังมองหาทางรอดในแบบของตัวเอง

Baldur’s Gate จึงเป็นทั้งหม้อหลอมแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม และในขณะเดียวกันก็อาจเป็นบ่อเกิดของการเลือกปฏิบัติที่ยังไม่เคยจางหาย

ความรักอันไร้ซึ่งพรมแดน

Dungeons & Dragons มีชื่อเสียงมาเนิ่นนานในฐานะเกมที่เปิดกว้างด้านความรัก และ Baldur’s Gate 3 ก็ได้สานต่อแนวคิดนี้ไว้อย่างงดงาม ผ่านระบบ romance ของเกมที่ลึกซึ้งและเต็มเปี่ยมไปด้วยอิสระ ความรักในเกมนี้ไม่ถูกตีกรอบด้วยกฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทั่วไป

ตัวเกมเปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกคนสามารถมีพื้นที่แห่งความรักได้ ไม่ว่าจะมีรสนิยมทางเพศ (sexual orientation) แบบไหน ขอแค่ทั้งสองคนตกลงปลงใจกัน ก็สามารถจับมือรอรับชมฉากคัทซีนอันน่าประทับใจในเกมได้เลย

อีกหนึ่งความประทับใจ คือการเปิดพื้นที่ให้กับความสัมพันธ์หลากรูปแบบ ทั้งการมีคนรักหลายคน (polyamory) และการมีคนรักคนเดียว (monogamy) ซึ่งต่างก็จริงใจในแบบของตนเอง ไม่ใช่ทุกตัวละครจะยอมรับได้ทุกความสัมพันธ์ และกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ผู้เล่นต้องผ่านบทสนทนาอันหนักหน่วง การยอมรับอดีตของกันและกัน และการร่วมเดินทางไปพร้อมกันแม้ว่าความเห็นจะไม่ลงรอยเสมอไป เหมือนในชีวิตจริง ที่ความสัมพันธ์ไม่ใช่เพียงแค่การชอบพอกันชั่วขณะ แต่คือการเคารพในขอบเขตที่อีกฝ่ายสบายใจด้วย

ปลายทางของความรักในเกม อาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างในเทพนิยายแบบ happily ever after เสมอไป เพราะตัวเกมได้ถ่ายทอดความรักในหลากหลายรูปแบบ บางคู่เลือกที่จะรักกันทางไกลเพื่อให้อีกฝ่ายได้ไล่ตามความฝัน บางคู่ลดระดับความสัมพันธ์ลงมาเหลือแค่เพื่อนที่ยังห่วงใยกันอยู่ และบางคู่ก็แยกจากกันเพียงชั่วคราว เพื่อรอเวลาและจังหวะที่จะกลับมารักกันอีกครั้ง

และเมื่อเรื่องราวเดินทางมาถึง epilogue หรือบทส่งท้ายของเกม เราจะได้เห็นว่าความรักของเราลงเอยเช่นใด ไม่ว่าจะหวานซึ้ง ขมขื่น หรือคลุมเครือ แต่ทุกความทรงจำต่างก็มอบประสบการณ์อันล้ำค่า และหล่อหลอมให้เราเป็น ‘เรา’ อย่างที่เราเป็นในวันนี้

บทส่งท้าย

Baldur’s Gate 3 เปรียบเสมือนโลกย่อส่วน โลกที่วุ่นวายไม่แพ้ความเป็นจริง แต่ภายใต้ความวุ่นวายนั้น กลับเปิดพื้นที่ให้เราได้มองเห็นความหลากหลายในทุกแง่มุมของชีวิต ได้ย้อนกลับมาสำรวจตนเองว่า “เราคือใคร” และที่สำคัญที่สุดคือ “เรามีที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้จริงหรือไม่”

ไม่ว่าโลกจะเดินหน้าเข้าสู่สงครามเพราะความแตกต่างหรือไม่ แต่สิ่งที่มนุษย์ยังคงโหยหาไม่เคยเปลี่ยน คือการเป็นที่ยอมรับ หรือการได้เป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่บางครั้งไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ก็ได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสถานที่ ผู้คน หรือเป็นเพียงเสียงกระซิบว่า “คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้มีที่ยืนก็ได้นะ”

เพราะการถูกปฏิเสธตัวตนนั้นสร้างความเจ็บปวดอย่างคาดไม่ถึง และในโลกอันวุ่นวายนี้ บางครั้งความเข้าใจและพื้นที่เล็ก ๆ อาจเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดแล้ว

ในโลกที่ผู้คนยังคงถูกตัดสินด้วยเชื้อชาติ ความศรัทธา และรสนิยมด้านความรัก เกมนี้จึงเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นว่าแม้คนเราจะหลากหลายและแตกต่างเพียงใด แต่เราทุกคนก็สมควรมีที่ยืนอย่างเท่าเทียมกัน

Baldur’s Gate 3 จึงไม่ใช่แค่เกม แต่เปรียบเสมือนจดหมายรักที่เขียนขึ้นเพื่อปลอบประโลมเราในวันที่เหนื่อยล้า เพื่อบอกกับเราว่าไม่ว่าเราจะเป็นใคร หรือหลงทางอยู่ที่ไหน โลกใบนี้ก็ยังมีสักที่ ที่พร้อมอ้าแขนต้อนรับเราแล้วบอกกับเราว่า ‘วันนี้เราไม่ได้เดินเพียงลำพัง’


บทความอื่นๆ

เพิ่งเล่นจบ #24: s.p.l.i.t.

"เกมแนว Psychological Horror ที่มีอาร์ตสไตล์ที่จัดจ้าน กันเนื้อเรื่องสุดหดหู่ที่คุณสามารถเล่นจบผ่านใน 2 ชั่วโมงกับราคาอันย่อมเยา"

Tasha Strong
Tasha Strong

Donkey Kong Bananza: ความมันส์ทะลุปฐพี

"Donkey Kong Bananza ไม่ใช่แค่การผจญภัยครั้งใหม่ แต่คือการนิยามเกมแพลตฟอร์ม 3 มิติใหม่อีกครั้ง"

ทรี
ทรี

#มู่กิการละเกมส์: Galaxy Burger

"หากเหนื่อยล้า พาหัวใจไปทำอาหารแบบผ่อนคลายไปกับ Galaxy Burger กันเถอะ"

MeltBul2N
MeltBul2N

No Time to Relax: โลกทุนนิยมหัวใจสีชมพู

"สวัสดี วันนี้คุณพอมีเวลาสัก 30 นาทีไหม ? ไม่ได้จะมาชวนไปสัมมนาแต่อย่างใด แต่จะมาชี้ช่องการเป็นมหาเศรษฐีให้ อย่าสงสัย อย่าลังเล ของแบบนี้เราต้องลงมือทําเองถึงจะเข้าใจ อยากรวยหรอตามมาสิ !"

ริโกะ 切望した
ริโกะ 切望した