เพิ่งเล่นจบ #23: Death Stranding 2: On the Beach


ถ้าตามช่ามาสักพักจะรู้ว่าช่ารัก Death Stranding มากๆ ด้วยความที่มันเป็นเกมที่แม่ซื้อให้ตอนเรียนจบ แล้วนั่งเล่นกับแปลให้แม่ฟังตอนที่มาหาที่เมลเบิร์น กับการที่มันเป็นเกมที่สุดแสนจะอธิบายกับนิยาม “strand-type” เกมแรกของโลก (โคจิม่าแม่งโม้อะไรก็ไม่รู้ 555+) ระบบมัลติเพลย์เยอร์รูปแบบ asynchronous ที่ทำให้เราสามารถทิ้งของไว้ให้ผู้เล่นคนต่อไปได้ใช้ เป็นอะไรที่แปลกใหม่ หรือการเล่าเรื่องแบบ “tell, don’t show” ที่พี่แกให้พวกเราดูคัทซีนกาวๆ แบบยาวๆ แต่เต็มไปด้วยปรัชญาและความรักโลก เพราะความสามัคคีและความรักที่เพื่อนมนุษย์มีต่อกันจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนไปรอด
ถือว่าเป็นเกมที่อยากจะกราบใจโคจิม่ามาก แถมจังหวะที่เกมนี้ปล่อยโลกเราก็ได้เผชิญกับการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้เรารู้ว่าวีรบุรุษของโลกเราที่จริงแล้วคือ essential workers ทุกคนที่แม้โลกจะเลวร้ายขนาดไหน พวกเค้าก็ต้องเต็มที่กับสิ่งที่ทำเพื่อความอยู่รอดของทุกคน (รอนโยบายค่าแรงงานอยู่นะเฟ้ย แม่ง!) เล่นแล้วโครตอิน

มันเลยทำให้ตอนที่เราเห็นคำถามในตัวอย่างของ Death Stranding 2: On the Beach แล้วก็ฉงน ด้วยการจั่วหัวคำถามว่า “Should we have connected?” การที่เปิดตัวภาคต่อกับการถามว่าหัวใจหลักของภาคแรกมันถูกต้องไหม มันก็ทำให้เราได้อึ้ง เพราะยุค COVID-19 ที่ทุกคนเชื่อมต่อกันมากขึ้นและง่ายขึ้นผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่ได้มีแค่ผลดี แต่สิ่งที่ทำให้เราแม่งอ้าปากค้างคือตัวอย่างปีนี้ที่โคจิม่าตัดเองกับมือ เค้าได้ให้คำตอบกับคำถามนั้นว่า “We Should Not Have Connected” ได้แต่งงว่า เชี้ย เกมนี้มันจะออกมาเป็นยังไงเนี่ย
หลังจากที่ช่าได้เล่น Death Stranding 2: On the Beach จบมาอาทิตย์นึงแล้ว ช่าก็ได้ตกตะตอนความคิดต่างๆ เกี่ยวกับเกมนี้ที่ช่าใช้เวลาไปกับมันถึง 50 ชั่วโมงได้และก็ได้คำตอบกับคำถามคำนี้แล้ว ลองมาอันกันค่า
Raindrops Keep Falling on my Head

เนื้อเรื่องของ Death Stranding 2: On the Beach (ต่อจากนี้จะย่อว่า DS2 ละกัน ง่ายดี) เกิดขึ้นเกือบหนึ่งปีของภาคแรก หลังจากที่เราได้รวมประเทศ United Cities of America อีกครั้งผ่าน Chiral Network พวกเราก็ได้เข้าสู่ยุคที่หุ่นยนต์และ automation ครองประเทศ ทำให้งานขนส่งนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ Porters (นักส่งของในจักรวาลนี้) ในประเทศ UCA อีกต่อไป ลุงแซมกับลูกลูก็หนีไปอยู่เงียบๆ กันสองคนพ่อลูกอย่างสงบสุข โดยหารู้ไม่ว่าการที่รวม UCA ในภาคที่แล้วทำให้ปรากฏการณ์ Plate Gates นั้นเกิดขึ้นซึ่งมันนำไปสู่แผ่นดินไหวเป็นระยะทั่วโลก ซึ่งทางฟราไจล์ คนสนิทของลุงแซม Drawnbridge ก็ได้การว่าจ้างมาจากรัฐบาล UCA ให้เราต่อประเทศเม็กซิโกเข้า Chiral Network เพื่อที่จะได้ใช้ Plate Gate ที่อยู่ที่นั้นไปรวมทวีปออสเตรเลียเข้าสู่ระบบอีกต่อ ก็มิวายต้องให้ลุงแซมมาช่วยอีกแรง พาเราไปตะลุยทั่วโลกบนยาน DHV พร้อมกับเพื่อนใหม่ๆ ทั้งหลาย

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เล่นภาคแรกแล้วอ่านเรื่องย่อข้างต้น ก็คงจะงงว่าช่าพูดถึงอะไรอยู่ ซึ่งมันก็เป็นปัญหาหลักของเกมนี้ที่ผู้เล่นต้องรู้เนื้อเรื่องของ Death Stranding พอตัว ถึงจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ถึงแม้ตัวเกมจะมีเรื่องย่อที่ตัดภาคแรกให้เราได้ดู (หาได้ใน YouTube เหมือนกัน อฟช. ลงไว้) การที่ได้ไปส่งของเองกับมือและการนั่งดูคัทซีนเป็นชั่วโมงของตาโคจิม่า มันจะทำให้คุณทั้งอินกับทั้งเข้าใจตัวเกมนี้ได้อย่างลึกซึ้งแน่นอน
ถ้าใครไม่ได้เล่นภาคแรกแต่เป็นสายอ่านก็ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นเพราะตัวเกมมีระบบ Corpus ที่ทำให้เราได้อ่านทุกอย่างที่อยู่ในตัวเกม ตั้งแต่ world building ยันประวัติรถ ถึงแม้จะงงและไม่เก็ท แต่ตัวเกมเองก็ไม่ได้คาดหวังให้ผู้เล่นใหม่ต้องไปเล่นภาคแรกก่อน ตัวเกมได้พยายามใส่ออปชั่นบทสนทนาระหว่างแซมกับผู้คนที่เราจะได้เจอ ให้แซมได้ถามถึงความเป็นมาของหลายๆ อย่างเพื่อสอนผู้เล่นใหม่เกี่ยวกับ lore ไปในตัวด้วย

ตัวเกมนี้มันเกี่ยวกับความรักในหลายรูปแบบอย่างแท้ทรู ไม่ว่าจะเป็นความรักให้ลูก ความรักในเชิงชู้สาว การรักเพื่อนพ้องและที่สำคัญ ความรักที่มีต่อให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถ้าใครได้เล่นภาคหนึ่งก็จะรู้ดีว่าลุงแซมเป็น introvert ที่กลัวการโดนจับต้อง (aphenphosmphobia) แต่การผจญภัยครั้งนั้นมันทำให้เค้าพยายามรักคนรอบข้างมากยิ่งขึ้น และการเดินทางของเค้ากับลูกลูในครั้งนี้ที่ไม่ได้เดียวดายเหมือนครั้งที่แล้วเพราะเรามีเพื่อนเพียบ แถมยังมี Dollman คู่หูดูโอ้ผู้ที่วิญญาณของเค้าติดอยู่ในร่างตุ๊กตา ที่จะไปตะลุยกับเราอีกด้วย

โดยรวมแล้วนี่คงเป็นเกมโคจิม่าที่ย่อยง่ายที่สุดเท่าที่เคยเล่นมา ด้วยความที่เกมมันโฟกัสกับตัวละครมากกว่าการสร้างโลกอย่างใน Metal Gear Solid หรือภาคแรกมันก็ทำให้จุดอ่อนของทีมเขียน Kojima Productions (เรื่อง overexplaining) มันไม่ได้เด่นเท่าแต่ก่อน ถึงแม้ยังมีโมเม้นต์เหล่านั้นก็ตาม แล้วความที่เราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวละครทุกตัวโดยเฉพาะลุงแซมและลูก มันทำให้เราอินไปกับทั้งสองคน บ่อน้ำตาแตกเป็นระยะ แต่ความเป็นโคจิม่าก็ยังคงอยู่เพราะร้องไห้ได้ไม่นานตาโคจิม่าก็หาอะไรฮาๆ มาให้เราได้เจอกันอีกแล้ว

ส่วนเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ลืมคำถามที่ Kojima Productions ได้ถามเราไว้ในตัวอย่างเรื่อง “Should We Have Connected?” ซึ่งส่วนตัวแล้ว ช่าได้เข้าใจคำถามจริงๆ แล้วว่าเค้าหมายถึงอะไร และได้คำตอบกับคำถามนั้นอย่างพึงพอใจของช่าแล้ว ซึ่งมันยากมากที่จะพูดถึงตรงนี้แบบไม่สปอย แต่บอกได้ประโยคเดียวว่า “ร้องไห้เหมือนหมา”
The Bond We Share
อย่างที่บอกไว้ข้างต้นการโฟกัสตัวละครมันเป็นจุดแข็งของเกมนี้จริงๆ เพราะ NPCs ทุกตัวที่เราได้เจอ จากคนที่เราจะไปส่งของให้ยันคนในยาน DHV

ตัวละครหลักใหม่ๆ ในเกมนี้มาเพื่อการขโมยซีนจริงๆ ทั้งตัว Rainy ที่เล่นโดยคุณ Shioli Kutsuna ที่ประทับใจตั้งแต่แรกพบและมี side plot ที่น่าเอ็นดู Tarman ตาแกขับยาน DHV ผู้ที่มากด้วยสติปัญญาและคำสอนที่ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง George Miller มา motion capture ให้ น้อง Tomorrow ที่ได้สาวมากความสามารถอย่าง Elle Fanning มาเล่น หรือตัวละครปริศนาที่หน้าตาคล้าย Solid Snake ที่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้อย่าง Neil (รับบทโดย Luca Marinelli) ซึ่งช่ายกให้เป็นตัวละครใหม่ที่ดีที่สุดในเกมนี้

แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าตัวละครเก่าๆ อย่าง Fragile, Heartman หรือขวัญใจแฟนคลับอย่าง Deadman จะไม่เฉิดฉาย เพราะเกมนี้วางความเด่นของตัวละครได้อย่างบาลานซ์และทุกตัวทำให้เรามีความรู้สึกอยากเชียร์ทุกครั้งที่เข้าฉาก แต่คนที่เด่นจริงก็คงหนีไม่พ้นตัวร้ายที่กลับมาพร้อมความแค้น (ตายยากชิบหาย) อย่าง Higgs บอกเลยว่า Troy Baker เล่นได้น่าโมโหจนฟีลขาดไปหลายรอบเหมือนกัน เล่นดีจัดจนอยากตบหัวสองที แม่เจ้า
ทุกตัวละครหลักเหล่านี้และ NPCs ที่เราได้พบจากการไปส่งของ มีความโก๊ะๆ สไตล์โคจิม่า ที่ทำให้พวกเค้าน่าเอ็นดู ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการส่งของแม้แต่นิด มีแต่การเฝ้ารอว่าต่อไปเราไปเจอใครอีก อยู่ดีๆ เราจะได้ไปเจอวง CHVRCHES เป็นนักอนุรักษ์สัตว์ สาวอาร์ทติดตลกอย่าง Lauren Tsai หรือแม้กระทั่ง Pekora ที่อยู่ดีๆ ไหงน้องกลายมาเป็นนักทดลองไปได้ก็ไม่รู้ เล่นไปก็ขำไปว่าจะเชิญใครมาเล่นอีก และบทที่ได้แต่ละอันก็ออกฮาทั้งนั้น

เหมือนภาคแรก ตัวเกมมันก็มี Easter Eggs และอีเว้นต์ต่างๆ ที่ให้เราอาจจะได้ให้จากการเล่นมั่วๆ จากการปล่อยตัวตาแซม AFK ซัก 3-4 นาที ยันฉากฮาๆ อย่างบ่อน้ำที่ทุกคนอาจจะเห็นเต็มโซเชียลมีเดียตัวเองกันแล้ว มันมีหลายๆ อย่างที่มีเสน่ห์และน่าประทับใจให้เห็นเยอะแยะ แต่ถ้าใครไม่โดนเส้นมุกตลกโปกฮาของตาโคจิม่าก็อาจจะงงๆ นิดนึง ซึ่งก็แล้วแต่รสนิยมของทุกคนด้วย
แต่การจะไปส่งของให้ใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เกาะออสเตเลียมันเป็นทวีปที่ใหญ่อยู่ ถึงแม้จะสเกลลงมาให้เป็นเกม open-world มันก็ยังใหญ่อยู่ดี มีทั้งภูเขา มีทั้งป่า ทั้งทะเลทรายและอีกมากมาย ที่ทีมงานให้มันสมกับฟีลการที่มันเป็นทั้งทวีปจริงๆ แม้กระทั่งโซนเม็กซิโกที่อาจจะเล็กก็เต็มไปด้วยบททดสอบอันหลากหลาย กับสภาพแวดล้อมมากมาย ที่ทำให้การเดินทางเราดูไม่จำเจและน่าเบื่อ

นอกจากตัวด่านเองแล้ว ตัวเกมก็ยังมี Day/Night Cycle ที่ทำให้ภาคนี้รู้สึกสมจริงมากยิ่งขึ้น และยังมี dynamic weather ที่อาจจะทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางของเรา ความ dynamic ไม่ได้มาแค่ในรูปแบบฝนตก แต่มันยังมาในรูปแบบของภัยพิบัติหลายอย่าง ไม่ว่าจะแผ่นดินไหวยันพายุทราย มันก็พร้อมที่จะทำให้เราปวดเฮดอย่างหนักแน่นอน
This Is How We Do It
การจะออกเดินทางครั้งใหญ่ครั้งนี้มันจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราไม่มีอุปกรณ์ที่พร้อมในการลุยทั่วทวีป ดังในชีวิตจริง ก่อนออกเดินทางก็ต้องศึกษาเส้นทางและสภาพอากาศคร่าวๆ เตรียมเสบียง อุปกรณ์ และยานพาหนะที่เหมาะสมกับการเดินทางไกล ซึ่งตาโคจิม่าและทีมงานก็จัดเต็มมากกับเกมนี้

เราสามารถรับรู้ถึงความลึกของระบบและความใส่ใจของทีมงานที่มีต่อระบบต่างๆ ของเกมนี้ ตั้งแต่แผนที่ที่สุดจะละเอียด จากการซูมถึงการวาดแบบแผนการเดินทาง การดูพยากรณ์อากาศหรือพยากรณ์อุทกภัย หรือจะเป็นความง่ายในการดูว่าตัวเราเองและผู้เล่นคนอื่นวางรถ สะพาน ถนน หรืออุปกรณ์จิปาถะไว้ที่ไหนบ้างเผื่อเราจะใช้ในทริปที่กำลังแพลน ถึงแม้ด้วยความสัตย์จริงแล้วเราไม่ต้องเอนเกจกับระบบเหล่านี้เลย แต่การที่มันมาระบบแผนที่ที่ละเอียดและมีความใส่ใจ พร้อมกับ UI/UX ที่คิดมาอย่างดีแล้วเป็นสเต็ปใหญ่จากภาคแรก มันก็ให้ออปชั่นคนได้โรลเพลย์หรือ immerse ไปกับลุงแซม และแสดงความรักของผู้สร้างให้คนเล่นรู้สึกได้

พูดถึงการสร้าง เครื่อง PCC ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับของเล่นใหม่ที่ให้เราได้ลองใช้กันอย่าง Transponders ที่จะทำให้เรา fast-travel ระหว่างพื้นที่ได้ (แต่เราจะไม่สามารถเอาของไปกับเราได้ เกมไม่ให้เราโกงขนาดนั้น 555+) มันเหมาะมากกับโลกที่ใหญ่ขึ้นกับสเกล open-zone ของเกมนี้ และยังมีรถใหม่ให้ใช้สองแบบอย่าง Tri-Cruiser และ Pickup-Off-Roader กับระบบขับรถที่คล้องขึ้นและสะดวกสบายขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับภาคที่แล้ว ด้วยความที่ทุกคนเริ่มเข้าใจตัวเกมมาขึ้นกับการวาง zip-line หรือถนนต่างๆ มันก็ทำให้ผู้เล่นทุกคนมีทางเลือกในการเดินทางที่หลากหลายขึ้นมาก จะเดินเอาเพื่อให้มันได้อารมณ์และกินวิว จะเน้นการเดินทางแบบใช้สิ่งก่อสร้าง PCC ซ่อมระบบ Monorails เพื่อที่จะเดือนทางไกลได้สะดวกขึ้น หรือแม้จะซิ่งกับรถ Pickup ตะลุยออสเตเลียก็สุดแต่ใจของคุณจะไขว่คว้า แต่ก็อดพูดไม่ได้ว่าแอบเสียดายที่เกมนี้มันมีรถแค่สองแบบเมื่อเทียบกับภาคแรก
หนึ่งในสิ่งที่ประทับใจที่สุดในเรื่องเกมเพลย์ก็คงหนี้ไม่พ้นการที่เกมให้ “ของเล่น” ใหม่เราเล่นเรื่อยๆ การที่เราไปส่งของให้ NPC ที่ต่างๆ ใน Main Story ก็จะมีรางวัลให้เป็นของที่เอาใช้ให้การส่งของมันสะดวกขึ้นไปเรื่อยๆ หรืออาวุธต่างๆ ที่สามารถทำให้เราจัดการศัตรูได้ง่ายขึ้นและรับมือกับไฟท์ที่ยากขึ้น ความดีงามของ pacing นี้มันทำให้เราไม่รู้สึกว่าเกมมันพยายามสอนเราหลายๆ อย่างพร้อมกัน ให้เวลาเราย่อยกับของใหม่ๆ แถมยังทำให้เกมมันมีแรงจูงใจในการทำ side content หรือการส่งของให้ครบ 5 ดาวเพื่อจะให้ของแปลกๆ ทั้งหลาย (เช็คได้กับระบบ Corpus ด้วยแหละว่า NPC ตัวไหนจะให้อะไร)

ถึงแม้ว่าเกมจะมีของเล่นใหม่เยอะมากโดยเฉาพอาวุธต่างๆ และระบบการต่อสู้ที่ต้องบอกเลยว่าทำออกมาดีแต่ก่อนมาก แต่ก็มิวายแพ้ความ… ไม่ค่อยฉลาดของ AI ของเกมนี้ เอาจริงมันก็เซ็งนิดหน่อยเพราะว่าเกมนี้ในบทต่อสู้ ลุงแซมแม่งเท่ยังกะเล่นสเนคใน Metal Gear Solid V: The Phantom Pain เผลอๆ ยังเล่นดีกว่าเกมนั้นอีกเยอะ คลังอาวุธที่จัดเต็มแค่ไหน ความ responsive ของระบบต่อสู้มันจะงามยังไง เจอ AI ที่ไม่ค่อยเก๋กับบอสไฟท์ที่รู้สึกเหมือน Bullet Sponge (เลือดเยอะเกินไป) ก็จ๋อยอยู่ดี เข้าใจแหละว่ามันเกมส่งของและก็ระบบเกมนี้มันเหมือนเป็นรากฐานชั้นดีของเกมต่อไปของ Kojima Production อย่างแน่นอน
Why We Connect In the First Place...
ความสนุกของเกมนี้ตั้งแต่ภาคแรกก็คือการที่ได้รู้สึกเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ด้วยระบบเกมออนไลน์แบบ asynchronous (ไม่พร้อมกัน) ที่ไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่าเราเดียวดายในเกมนี้เลยแม้สักกะนิด การที่ได้ทำอะไรให้คนอื่นมันเป็นสิ่งที่ทำให้ใครๆ ก็รู้สึกดีอยู่แล้ว พอมันมากับระบบ Like เหมือนภาคแรก มันก็ช่วยให้เรามีกำลังใจที่จะส่งต่อความสนุกให้ผู้เล่นคนอื่น ไม่ว่ามันจะมาในฟอร์มช่วยทำถนนด้วยกันหรือการทำสะพานให้ตัวเองและคนอื่นได้ข้าม

พอเวลาเราได้เป็นคนที่ได้รับมันก็ทำให้เราชื่นใจไม่แพ้กัน เวลาเราไปโซนใหม่ๆ แล้วได้เชื่อมต่อโซนนั้นเข้า Chiral Network แล้วเห็นว่าผู้เล่นคนทำอะไรไว้ให้เรามันก็เป็นความรู้สึกที่ดี บางครั้งเวลาวัสดุก่อสร้างเราหมดแล้วเห็นคนส่งมาให้เราผ่านระบบ Request มันเป็นฟีลลิ่งที่ฟินเวอร์มาก
ก็อดขำไม่ได้ที่ “Should we have connected?” เป็นคำถามที่ตัวอย่างถามเรา เพราะว่าคำตอบมันชัดเจนหลังจากการเล่นว่า “Yes”
On the Beach
เราเชื่อว่าคนที่ไม่ชอบภาคหนึ่งก็คงไม่ชอบภาคนี้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลที่ว่าโคจิม่ารู้ว่าเค้าต้องการอยากสร้างเกมอะไรและเค้าทำมันออกมาดีกว่าเดิม ใหญ่กว่า ปังกว่าเดิมเยอะ ถ้าการส่งของมันไม่สนุกต่อสำหรับใคร ต่อให้มันมีของเล่นใหม่เยอะขนาดนี้ก็อาจจะไม่ใช่แนวทางของบุคคลนั้นอยู่ดี

ช่ารู้สึกช่าเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่รักแฟรนไชส์นี้และได้เกมที่อาร์ตมากๆ อีกเกมมาเล่นในปีนี้ ช่าคิดว่า Death Stranding 2: On the Beach มันเป็นเกมเกี่ยวกับความรักที่ทำมาด้วยความรักในการทำเกม ทุกอย่างมันมีรายละเอียดและความใส่ใจแฝงอยู่ในตัวมัน มันเป็นเกมที่ทำให้ช่าเสียน้ำตาเยอะมาก และฮาท้องแข็งไม่แพ้กัน อาจจะไม่ใช่เกมที่เพอร์เฟคและก็ยังมีจุดที่คิดว่ามันดีกว่านี้ได้เยอะ แต่รวมๆ ไอ้ความประทับใจและโมเม้นต์ที่เกมให้เราทุกชั่วโมง มันทำให้เราลืมจุดด้อยพวกนั้นไปกับเวลาเล่นไปหมดเลย ความบ้าบิ่นของเกมนี้ก็ทำให้คนเล่นบ้าๆ อย่างเราแม่งรักมันอย่างจริงจังนั้นแหละ