🌸 Tasha Reviews 🌸

เพิ่งเล่นจบ #15: Split Fiction

Tasha Strong
Tasha Strong

The Beginning

ช่าพูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นบิ๊กแฟน Hazelight Entertainment ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าผู้กำกับหนังสุดบ้าพลังงานอย่าง Josef Fares ได้ก่อตั้งสตูดิโอเกมนี้ขึ้นมาในช่วงต้นปี 2014 หลักจากที่เกม Brothers: A Tale of Two Sons ที่เค้ากำกับในปีก่อนหน้ามันปังปุริเย่ และได้ยกเป็นหนึ่งในตัวอย่าง video games as an art form ในช่วงต้น 2010s ซึ่งเค้าและทีมงานก็ใช้เวลา 4 ปีกว่าจะคลอดลูกคนที่สองอย่าง A Way Out เกม co-op แหกคุกที่ชวนน้องชายตัวเอง (Fares Fares) มาเล่น ก็สนุกยังกะดูหนังแอคชั่นเกรดบี (อันนี้ชมนะเนี่ย) แถมเกมมันออกมาพร้อมกับจังหวะที่คนคิดถึงเกมแนว couch co-op อีกด้วย ทำให้ A Way Out ถึงแม้จะไม่ได้รางวัลอะไรมากมาย เป็นเกมที่คนพูดถึงเยอะมากจนทุกวันนี้

สองเกมที่ทำให้ค่ายดังจนทุกวันนี้

แต่ก็เถียงไม่ได้ว่าผลงานที่ทำให้สตูนี้เป็นที่จับตามองจริงๆ (นอกจากที่พี่แกไปแจกรวยฮอลีวูดใน TGA ปีนู้น) ก็คือ It Takes Two อีก co-op adventure เกมที่ออกมาถูกจังหวะสุดๆ ในช่วงโควิด ด้วยความเป็นเกมอบอุ่นเกี่ยวกับครอบครัวที่ไม่ค่อยจะอบอุ่นที่ทั้งฮาและน่าประทับใจ ผสมกับ mechanics การเล่นที่ทำได้ดีมากกว่า A Way Out ในเชิง level design และความยาว บวกการพูดถึงแบบปากต่อปากของเกมนี้ ก็ทำให้เกมนี้มียอดขายขายถล่มถลาย และคว้ารางวัล Game of the Year จาก DICE และ TGA มาได้

รวย!!!!!!!!

มันเลยไม่แปลกใจเลยที่ปีนี้หลายๆ คนรวมทั้งเราจับตามอง Split Fiction เกมที่สามของค่าย Hazelight อย่างใจจดใจจ่อ แหม่ ก็ผลงานของค่ายนี้มันปังขึ้นเรื่อยๆ แถมตัวอย่างเกมนี้ก็โชว์ลูกเล่นและความแพรวพราวของเกมนี้ที่สามารถผสมความ Sci-Fi และ Fantasy ได้อย่างลงตัว และ mechanic เกมเพลย์ใหม่ๆ ที่เหมือนว่าพี่แกอยากใส่อะไรก็ใส่ ตอนดูตัวอย่างก็คิดกับตัวเองว่า เห้ย Hazelight ยกระดับตัวเองไปอีกขั้นแล้วละ แล้วตกลงนี่มันเกม twin-stick shooter, side scroller, puzzle platformer หรือเกมอะไรกันแน่เนี่ย!?

นี่มันคือเกมอะไร?

The Whimsical Fiction

ตัวเรื่องของ Split Fiction มันเข้าใจง่ายแล้วมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเยอะมาก เกมนี้เล่าถึงนักเขียนถังแตกอย่าง Zoe กับ Mio ที่ได้รับเชิญจากบริษัทหนังสือยักษ์ใหญ่ชื่อว่า Rader Publishing ที่สัญญากับพวกเธอว่าจะตีพิมพ์หนังสือของพวกเธอทั้งสองให้ถ้าพวกเธอเข้ามาอยู่ในการวิจัยเครื่องที่ชื่อว่า The Machine (แค่ชื่อก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว) ที่ตัวเจ้าของบริษัทอย่าง Rader (แหมะ ตั้งชื่อบ. ตามตัวเองซะด้วย) อ้างว่าจะทำให้พวกเธอและคนอื่นๆ เข้าไปอยู่ในหนังสือที่พวกเค้าเขียน ทว่าอีการวิจัยนี้เป็นการดูดความคิดของนักเขียนทุกคนที่มาวันนี้ เพื่อจะเอาไอเดียในหัวพวกเค้าไปขาย

คือพูดง่ายๆ เกมนี้มันด่าเทค AI และคนหากินกับความคิดคนอื่นนั่นแหละ 555+

โฉมหน้าไอ้โบร๋

ซึ่งตัว Mio นักเขียนสาวที่หลงไหลใน sci-fi ห้าว เด็ดเดี่ยว และเงียบขรึม รู้สึกว่าเรื่องนี้ทะแม่งๆ ก็ได้ไฟท์กะตา Rader จนเป็นเรื่องเป็นราวเพราะว่าล้มเข้าไปในเครื่องที่ Zoe นักเขียนสาวหวาน มองโลกในแง่ดี ชอบนิยาย fantasy นอนอยู่ แล้วได้หลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีของ Zoe ทำให้เครื่อง The Machine (เกลียดชื่อจังเลยโว้ย) เกิด glitch ขึ้นมา และทำให้โลกที่สองคนนั้นเขียนมันปันป่วนอลเวง เป็นไฟล์ทบังคับให้สองสาว personality สองขั้ว ต้องมาจับมือกันออกจากเครื่องให้ได้!!!

สองสาวสุดสวย

ความตรงไปตรงมาของเนื้อเรื่องที่ย่อยง่ายนี่ เป็นอะไรที่ Hazelight ถนัดในการเล่าพอตัว เพราะเกมอื่นๆ ที่ Josef Fares กำกับและเขียนก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ทำให้เล่นและเข้าใจได้ง่ายทั้งครอบครัว แต่ด้วยความที่มันไม่ได้หนักมาก ก็ทำให้ทีมเขียนได้ปล่อยความฮาได้อย่างเต็มที่กับเกมนี้ มีมุกให้ขำกระจายทุกๆ 3 นาที

ฮาจัดบอกเลย

ความต่างของตัว Zoe กับ Mio ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ถึงแม้มันจะเป็น trope ที่ทำมาบ่อยในสื่อเกมและสื่อหนัง แต่ด้วยความที่นอกจาก personality เค้าทั้งสองจะคนละอย่างกันเลย แต่สิ่งที่สองคนชอบมันไปคนละทาง คนนึงก็แฟนตาซี มีความฝันกลางวันในโลกที่เธอเขียน น่ารักมาก จ๋า ส่วนอีกคนก็สุดจะไซไฟ ตะลุยอวกาศ เท่และดุดัน ซึ่งตัวเกมก็เล่าความชอบของสองคนนี้ออกมาได้น่ารัก ทำให้รู้ว่าสองคนโตมาอย่างไร ในบ้านแบบไหน ที่เดาได้จาก context clues และ implications ต่างๆ และเพิ่มมิติความเป็นมนุษย์ให้สองตัวละครได้เต็มที่ ถึงแม้แคสนี้หลักๆ จะมีแค่ 2 คน แต่มันก็เป็น 2 คนที่สุดจะ fully realise มากๆ

สั้นๆ แต่เล่าได้ทุกอย่าง

ด้วยความที่มันเป็น fiction ในโลกจริงๆ เราก็จะเห็น reference ไปหาเกมแหละหนังอื่นๆ ได้ตลอด ฉากแปลงร่างเป็น Sailor Moon ที่ทำเรากับแฟนขำก๊าก หรือ section ในเกมที่ reference Metal Gear Solid มาทั้งดุ้น ก็เป็นอะไรที่ทำให้ตัวเนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆ อยากรู้ว่าเค้าจะเล่นมุกอะไรต่อไป

อีกอย่างที่เราว่าตัวเกมทำออกมาได้ดีมากๆ คือการที่มันทำให้เราซื้อความเป็นเพื่อนของสองคนได้ ถึงแม้พวกเธอทั้งสองจะติดข้างในโลกเสมือนแค่หนึ่งวัน แต่สิ่งที่พวกเธอต้องเผชิญเพื่อที่จะออกจากโลกเสมือนมันทำให้พวกเธอต้องสนิทกันไปโดยปริยาย ชอบการที่ทีมเขียนเลือกการที่ค่อยๆ เล่าปมในใจของตัวละครที่ทีมงานให้เราเห็นทีละนิดผ่านการค่อยๆ เปิดใจของ Mio และ Zoe แล้วระเบิดในช่วงครึ่งหลังในช่วงที่เค้าเชื่อมั่นในอีกคนอย่างเต็มที่ มันทำให้เกมนี้ออกมาฟูใจมากๆ พูดคร่าวๆ แค่นี้แหละ อยากให้ไปเจอกันเองในเกม

โอบกอดหัวใจของฉันเอาไว้นานๆ

แต่ก็ตามสไตล์การเขียนของ Hazelight ตัวหลักละครจะน่ารักขนาดไหน แต่ overall conflict กับ conclusion ของตัวเรื่อง ก็ออกจะห้วนๆ และอ่อนไปนิดนึง ไม่ว่าจะเป็นตัวร้ายที่ไม่ค่อยมีอะไรเลยอย่าง Rader ถึงแม้จะเข้าใจว่าตั้งใจเขียนให้กลวงๆ เหมือนโบร๋ AI จริงๆ แต่มันก็ทำให้เราไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไหร่ หรือตอนจบที่อาจจะเร็วไปนิดนึง แต่ก็จบได้โอเคนั่นแหละ ถ้ามองแค่ภาพรวม ถึงแม้ตรงนี้จะอ่อนไปหน่อย แต่ก็ยังเป็นเนื้อเรื่องที่น่าติดตามเลยละ

The Advance Technology

อี technical aspect ของเกมนี่มันน่าทึ่งมากๆ นอกจากเกมมัน optimise มากๆ ขนาด Steam Deck ก็ยังเล่นลื่นๆ ได้ การที่เกมใส่ลูกเล่นมาตลอดกับสเกลของดีไซน์แต่ละ section ของเกมมันน่าทึ่งจริงๆ เพราะว่าเกมนี้มันเปลี่ยน genre ทุกๆ 5 นาที แบบบางครั้งก็เดาไม่ออกว่าเกมจะให้เล่นอะไรต่อ ช่าอยากเรียก Split Fiction ว่าเกมแนวโอมากาเซะ คือ แล้วแต่มึงเลยคุณ Josef กูเชื่อมึง เอาอะไรมาให้เล่นก็ได้ สนุกหมดแหละ 555+

มีแม่งหมด ขี่มังกรถือดาบไปปราบมังกรเลว เล่นเป็นหมูแปรรูปกลายเป็นไส้กรอก หรือแม้กระทั่งขี่มอเตอร์ไซค์กรอก reCaptcha เกมนี้ใส่มาหมดทุกอย่าง จากเกมแนว action platformer อีกสามนาทีก็กลายไปเป็น metroidvania ได้ แถมยังมีการออกแบบ puzzle ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละด่าน ที่ทำให้เรากับแฟนเราเล่นไป เดาไปว่าตัวเกมมันจะโยนอะไรมาให้เราเล่น มันทำให้เรารู้สึกว้าวได้ตลอด

ก่อนท้องฟ้าจะสดใส

แถมการที่ทีมงานนั้นต้องทำ setting ทั้งโลกไซไฟ และโลกแฟนตาซี ตามนิยายของ Zoe และ Mio ก็เป็นความท้าทายที่ทีมงานทำออกมาได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของประกอบด่าน easter eggs ต่างๆ ที่มาใส่ไว้ หรือ references หนังที่ตัว Zoe หรือ Mio น่าจะได้ดูตั้งแต่เด็ก ซึ่งเราในฐานะผู้เล่นก็ได้ดูเหมือนกัน ก็ใส่ไว้ได้แบบไม่ได้ break immersion และรู้สึกธรรมชาติมากๆ

เกมนี้ยังมีระบบ side story ที่ไม่ได้แค่ให้เราเห็นนิสัยของตัวละครเพิ่มเติม แต่เป็นการอวดความเก่งของทีมงานที่ได้ปล่อยของกับ genre อีกเป็นสิบ ให้เราได้เล่นด่านแปลกๆ ผ่าน “scrapped story” ของตัวละคร ที่วางไว้ได้ดีมากระหว่างเล่นเนื้อเรื่องหลัก เพราะเวลาเนื้อเรื่องไม่เดิน จะมีมาให้เข้าไปเล่นตัดเลี่ยน

ครีเอทิฟไหมละแก

และการที่ตัวเกมสามารถเปลี่ยนไปมาระหว่าง genre กับฉากได้ แต่ใช้เวลาโหลดไม่นาน หรือทรัพยากรคอมเยอะ ก็เป็นอีกหนึ่งในความว้าวและ optimise ของตัวเกมนี้ ทีมงาน Hazelight ยกระดับเกมตัวเองได้อีกขั้นโดยการที่สามารถพัฒนาเทคนิคที่ใช้ ทำให้เกมออกมาเล่นได้ลื่นแบบไม่รู้สึกว่ามาต้องนั่งรออะไรมาก การที่วาง cutscene ได้ถูกที่เป็น illusion การโหลดได้อย่างดี มันเลยไม่รู้สึกเลยว่าเกมนี้ต้องลำบากรอนู้นนี่ก่อนที่จะไปด่านถัดไป

ความระเอียด Texture ความคมเงา มาครบ

แต่ไอ้ที่ประทับใจที่สุด และ minor spoiler ก็คือช่วงชั่วโมงสุดท้ายของเกมที่ต้องบอกเลยว่าทีมงานปล่อยของ กับเทคนิคการ render หลายฉาก หลาย texture ในจอเดียว และเราเล่นกับแฟนผ่านระบบออนไลน์ แต่ก็ทำให้มัน sync กันได้อย่างไม่น่าเชื่อ และไม่มี performance issue อะไรเลย ชั่วโมงสุดท้ายของเกมนี้มันเป็นอะไรที่ช่าอยากให้สัมผัสด้วยตัวเอง มันยากเกินอธิบายจริงๆ แบบไม่ต้องสปอย

The Long Lasting Friendship (and Relationship)

อันนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเกมเยอะ แต่อวดแฟนแหละ 555+

เวลาเจออะไรตลกๆ ด้วยกัน มันอุ่นใจนะ

เกมนี้จะดี ก็ต้องมีคนเล่นด้วยที่ดี ซึ่งเกมนี้มันเป็นการใช้เวลากับคนที่เรารักและแคร์ได้ดีมากๆ ขำกันใหญ่ถึงแม้จะตายกันแบบฮาๆ รับคำท้าไม่ว่าหน้าไหนแบบบังโต เพราะฉันยังมีเธอ (วงพราวก็มา)

และเราก็ได้เห็นเมสเสจที่ตัว Josef อยากส่งต่อให้คนเล่นและลูกตัวเองจริงๆ ว่า การมีกัลยาณมิตรที่ดีมันสำคัญมากๆ และช่าก็ดีใจที่ช่ามีคนนั้น เล่นเกมด้วยกัน ลำบากด้วยกัน และโตไปด้วยกันได้

แค่นั่งดูวิวด้วยกันก็ยิ้มแล้ว

อยากให้คนที่ได้เล่นเกมนี้ เล่นกับคนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าแฟน เพื่อน พี่ น้อง พ่อ แม่ เกมนี้มันทำออกมาให้ทุกคนเล่นได้ง่าย และมี accessibility เพียบ พร้อมให้ทุกคนได้ลองเล่นกันนะ

The End

รวมๆ แล้วมันก็เป็นอีกเกมที่สนุกมากๆ ในปีนี้ และดีใจที่ได้เล่น คืออาจจะจบห้วนๆ ไปหน่อยนั่นแหละ แต่รู้สึกว่าเวลาเกือบ 14 ชั่วโมง มันมีเรื่องให้ตะลึงตลอด

สำหรับช่า ช่าคิดว่าเกมนี้เป็นเกมที่ดีที่สุดของ Hazelight Studio เข้าใจว่าบางคนอาจจะ relate กับ It Takes Two ได้มากกว่า แต่ช่าว่านี่คือลงตัวทุกอย่างมากๆ และความลงตัวเหล่านี้มันทำให้มองข้ามข้อเสียทั้งหมดไปได้

อมยิ้มทั้งเกมบอกเลย

เป็นอีกเกมที่ต้องกดจริงๆ ปีนี้ ไม่กดถือว่าพลาดมากๆ เลยแหละตะเอง

มีอยู่ในทั้ง Steam, EA Play และคอนโซล ซื้อ 1 คน เล่นกะใครก็ได้ที่ไม่มีเกมเน้อ!

9.5/10


รีวิวอื่นๆ

เพิ่งเล่นจบ #14: Clair Obscur: Expedition 33

"ถึงแม้ว่ามันเป็นเกมที่ไม่ได้ไร้ที่ติ แต่ Expedition 33 เป็นอีกหนึ่งเกมที่มี narrative และ ambition ที่เต็มปริ (ทีมงาน Sandfall แม่งยิ่งกว่า Suicide Squad) ทำให้นี่เป็นเกมที่สุดจะเก๋อีกเกมของปีนี้"

Tasha Strong
Tasha Strong

เพิ่งเล่นจบ #13: South of Midnight

"การเล่าเรื่องแบบง่ายๆ บ้านๆ กับการเอานิทานและตำนานพื้นบ้านของอันสุดจะ gothic ในแถบ America South มาผสมกับ stop motion อย่างเท่ South of Midnight เป็นอีกเกมที่อยากให้เล่นในปีนี้"

Tasha Strong
Tasha Strong