🌸 Tasha Reviews 🌸

เพิ่งเล่นจบ #14: Clair Obscur: Expedition 33

Tasha Strong
Tasha Strong

Prologue:

“For Those Who Comes After”

มีไม่กี่งานเกมที่พูดได้เต็มปากว่าหนึ่งประโยคสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยนัย จะสามารถแบกเนื้อเรื่องหลักได้เกือบทั้งเรื่อง และสิ่งที่น่าประหลาดกว่านั้นแค่การที่คนเขียนหลัก แม่งเป็น Redditor ท่านนึงที่ผู้กำกับ Guillaume Broche พนักงาน Ubisoft ที่เบื่องานตัวเอง ดันไปเจอตอนกำลังหา VA กับเพลงประกอบเกมที่มีมู้ดเศร้าเข้าเกมเนื้อเรื่องที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก แต่บิ้วอารมณ์นักสู้ในตัวเราได้กับกีต้าร์อันเร้าใจ ซึ่งก็มาจากใครก็ไม่รู้ที่ไปเจอใน Soundcloud กลายมาเป็นพนักงานหลัก และทีมงาน Sandfall ที่เต็มไปด้วยนักพัฒนาระดับ Junior ประสบการณ์อาจจะน้อย แต่ไฟแรงเกินร้อย และการช่วยเหลือจากสตูดิโอและทีมงานนอกกว่า 500 ชีวิต ทำให้ Clair Obscur: Expedition 33 เป็นอีกหนึ่งเกมที่สุดจะ ambitious และเป็น love letter ให้กับแนวเกม JRPG ที่ทีมงานนั้นรักยิ่ง

แค่เปิดมาก็วิวสวยสุดๆ

และไอ้ความที่มันเป็นจดหมายรักฉบับนึง ก็ได้ทำให้เราอยากนิยามเกมนี้ว่า “เกมรวมมิตร” เราสามารถเเห็นและรู้สึกได้ของทุก influence เกมที่ทีมงาน Sandfall รักแล้วโตมาด้วย ช่าเป็นคนที่เล่น JRPG จบไปเยอะมากทั้งซีรี่ส์เล็กใหญ่ ก็จะพอเห็นพวกอิทธิพลต่างๆ ที่ไม่ได้มาจากแค่ Final Fantasy เราสามารถเห็นเนื้อเรื่องที่ทะเยอทะยานแล้วเบียวใน narrative จาก Chrono Triggers หรือ Dragon Quest XI เกมเพลย์ที่มีกลิ่นไอมาจาก Lost Odyssey, Stick of Truth และ Paper Mario กับ mechanic หลบและแพรี่ที่ทำให้เกมมีไดนามิกมากขึ้น หรือแม้การต่อยอดระบบ Junction และ Ability จาก Final Fantasy VIII และ IX มาเป็นระบบ Pictos ก็ทำให้ภาพรวมของ Expedition 33 ออกมาเป็น JRPG ที่มีโครงสร้างที่แข็งแรง เหมาะกับ motto For Those Who Comes After ที่แท้จริง

For Those Who Come After

Act 1: Story & Characters

นีคือสิ่งที่แบกทุกอย่างของเกมนี้ในความคิดช่า การที่ใช้ narrative เล่าเรื่องได้อย่างน่าทึ่งและมีชั้นเชิง ซึ่งก็อดคิดไม่ได้เลยว่าแม่งการไปเจอ Redditor คนนึงมันจะเป็นโดมิโน่ให้เราได้เล่นหนึ่งในเนื้อเรื่องที่เก๋ที่สุดที่เคยได้เล่นมา

คร่าวๆ เลย คือเรื่องของ E33 นั้น เกี่ยวกับทีมสำรวจของเมือง Lumière ที่ต้องออกเดินทางทุกปี เพื่อไปปราบ The Paintress ซึ่งเป็น entity สักอย่างที่ทำให้คนในเมืองอายุสั้นลงทุกๆ ปีกับเหตุการณ์ Gommage (ที่แปลเป็นไทยว่าลบทิ้ง เย้ย) ทุกครั้งที่เธอเขียนเลขลงบน Monolith ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว 67 ปี นับจาก 100 ลงมาที่ 33

สองพี่น้อง

ในการสำรวจครั้งนี้ เราจะได้เดินทางกับ:

  • Gustave: พ่อหนุ่มเอนจิเนียร์ ขี้หัวร้อนแต่ใจดี
  • Maelle: น้องบุญธรรมของ Gustave ที่ออกเดินทางด้วยถึงแม้จะแค่อายุ 16
  • Lune: พี่หญิงนักวิจัย และเมจสุดเท่ ที่ต้องแบกความหวังของพ่อแม่ที่เสียไว้บนไหล่
  • Sciel: นักสู้สาวอดีตครูและนักปลูกผัก ผู้ที่ยิ้มได้กับทุกเรื่อง

ระหว่างการเดินทางเราก็จะได้พบกับหนุ่มและลุงปริศนานามว่า Verso และ Renoir ทั้งคู่เป็นตัวละครที่ลึกลับที่จะมาเปลี่ยนชะตาของปาร์ตี้เรา ซึ่งบอกก่อนได้เลยว่าเกมนี้มีแต่อะไรที่จะเซอร์ไพรส์เราได้เรื่อยๆ ทำให้เราอินและเดาไปกับการเล่าเรื่องที่ตูดแทบจะไม่ติดกับเก้าอี้

Literally the coolest guy in the game

ทีมงาน Sandfall ได้ถ่ายทอดธีมหลักของความโศกเศร้าและการสูญเสียได้อย่างแทบจะไม่มีที่ติ ใช้ตัวละครแต่ละตัวโชว์ความเศร้าของการเผชิญความตายของคนรักได้อย่างคุ้ม เราจะเห็นหลายมุมมอง และหลายชุดความคิด แถมตัวเกมก็ยังพูดถึงความตายของตัวเราเองด้วย การเตรียมใจว่าจะต้องตาย และ legacy ที่จะส่งต่อไปให้กับคนรุ่นหลังและคนที่ต้องอยู่ต่อ เพราะบางครั้งมันไม่มีเวลาเตรียมใจหรือเสียใจในการเสียใครสักคน

การเขียนบทและไดอาลอคของเกมนี่มันรู้สึกธรรมชาติและลื่นไหล นี้เป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่ตัวละครพูดทับกัน มันเลยรู้สึกว่าเหมือนึนพูดจริงๆ ไม่ว่าจะเถียงกัน เห็นด้วย หรือเล่นมุกอะไรก็ตาม มันทำให้การคุยของตัวละคร โดยเฉพาะในแคมป์หรือเวลาอันน้อยนิดที่พวกเค้าจะได้พัก มันออกมาดู “จริง” เหมือนเวลาตัวเราเองคุยกับใคร

Esquire!!

พูดถึงตัวละครแต่ละตัวก็ไม่มีตัวไหนที่จะไม่ชอบเลย โดดเด่นในทั้งดีไซน์เก๋ๆ ที่ได้รับอิทธิพลยุค Belle Epoque และใน personality ความเทาๆ ของทุกคนในแคสนี่ มีทั้งด้านขาวและดำ เหมาะกับชื่อ Clair Obscur ที่แปลว่า ด้านขาวด้านมืด ได้ดีเยี่ยม ถึงแม้เราจะไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่ตัวละครทำในบางจุด แต่เราจะสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกของพวกเค้าได้เพราะการเขียนที่ใส่ใจ และเนื้อเรื่องที่ปูทุกอย่างมาประคองตัวเนื้อเรื่องได้อย่างชาญฉลาด

อีกอย่างที่ประทับใจมากๆ คือการใช้สายตาของตัวละคร Sandfall และทีม motion capture ทำตรงนี้ได้ออกมาได้ขั้นเทพ ตัวละครใชตาสื่อสารความในใจออกมาได้ทั้งเกม ทั้งความเศร้า ความลับ หรือการใช้ตายิ้มออกมา เราว่าตัวเกมมัน push boundary ตรงนี้ในการเล่าเรื่อง ฉลาดมากในการเน้น texture และ graphic resources ใส่เข้าไปในโมเดลตัวละคร

มองตาก็รู้ใจกันเนอะ

ช่าจะไม่แสร้งว่าช่ามีความรู้เรื่องคัลเลอร์หนังหรือประวัติฝรั่งเศส เพราะแทบจะไม่รู้เลย แต่อยากให้ลองไปฟัง Space ของคุณกีวี่ และลองตามอ่านความคิดเห็นของท่านอื่นๆ ที่จะเก็บรายละเอียดความเกี่ยวข้องของชื่อสถานที่ในเกม และชีวิตจริง มีอะไรให้ตามเยอะมาก

Act 2: Gameplay & System

ตัวเกมเพลย์ลูปอาจจะเป็นอะไรที่ช่าเห็นต่างมากที่สุดถ้าเทียบกับคนอื่น แต่ช่าต้องของย้ำอีกครั้งว่าเป็นคนที่เจนสนามเกมแนว turn-based มาก เล่นจบมาหลายเกม บางเกมก็หลายรอบ และช่าไม่ได้มองว่าลูปการเล่นเกม turn-based มันน่าเบื่อและจำเจ เพราะช่าคิดว่าความสนุกของเกมแนวนี้มันอยู่ที่การที่เราต้อง react กับการโจมตีและ debuff ต่างๆ ที่ศัตรูปล่อยใส่เรา ยกตัวอย่างแบบ Shin Megami Tensei V: Vengeance จากปีที่แล้ว ที่เราต้อง adapt เข้ากับสถานการณ์ตลอด จะ miss หรือโดนตี weakness ก็อาจจะทำให้แผนเรารวนไปเลย

ตอนเริ่มเล่นโดนตีเกือบตายหลายรอบมาก

การที่มีระบบ Dodge กับ Parry มันก็เป็นอะไรที่รู้สึก refreshing ดี เพราะเกมสุดท้ายแนวนี้ที่ได้เล่นคือ Stick of Truth ที่การบล็อกและกดตามจังหวะเป็นอะไรที่สำคัญต่อลูปเกมเป็นอย่างมาก และช่าก็อยากกด Paper Mario รีเมคแหละ แต่รอ NS2 เลยทีเดียวก็ได้

แต่มันทำให้เริ่มไม่ค่อยอินกับคอมแบทเท่ากับคนอื่น ช่วง 15 ชั่วโมงแรกมันก็สนุกเนี่ยแหละ พอยิ่งเล่นแล้วยิ่งเริ่มไม่ค่อยอยากเอ็นเกจกับระบบนี้ โดยเฉพาะความที่มันไม่ค่อยตรงกับ animation ของศัตรูหลายๆ ตัว เน้นฟังเสียงเอา และก็รู้สึกว่ามันให้หลายๆ สกิลในเกมไม่ค่อยมี usage เพราะถ้าจะเล่นให้ optimal ก็คือกด dodge ง่ายๆ สบายใจ

ก็จะแย้งได้แหละว่ามันมีบิ้วในเกมที่จงใจให้โดนมอนตบ หรือบิ้วฮาๆ แบบระเบิดตัวตายตบคอมแบท ที่ต้องใช้สกิลบางอันที่มัน niche มากๆ แต่มันก็เป็นบิ้วที่สุดจะ late game เหมือนกัน หรือบิ้วที่ปังในช่วง NG+ ก็เลยไม่ได้ว้าวอะไรขนาดนั้นเป็นการส่วนตัว

มีอะไรให้เปลี่ยนเยอะแยะ

แต่สิ่งที่เราว้าวจริงๆ กับระบบต่อสู้ของเกมนี้ก็คงจะหนีระบบ Pictos และ Weapons Abilities ไม่ได้ มันเป็นการเปิดมิติการเล่นบิ้วเจาะจง ที่มีให้ลองเล่นหลายบิ้วจริงๆ แล้วแต่จะคิดหาทำ

ก่อนไป Pictos ก็อยากจะอวย Weapons Abilities ซะก่อน ปกติเวลาเราได้ของที่ raw stats ดีกว่า เราก็เปลี่ยนไปใช้ของใหม่เลย แต่ใน Expedition 33 ทีมงาน Sandfall คิดมาอย่างถี่ถ้วนจริงๆ ว่าจะให้คนใช้อาวุธเก่าๆ ได้อย่างไร เพราะระบบนี้จะให้โบนัสหลายๆ อย่าง หรือเปลี่ยนการเล่น mechanic ของตัวละครไปเลย ทำให้บางตัวเรายังใช้อาวุธที่ได้จากองค์ 1 อยู่เลย เพราะมันเหมาะมือในสไตล์การเล่นของเรามาก

ระบบ Pictos ต้องเป็นอีกระบบขึ้นหิ้งบอกเลย

ส่วนตัว Pictos นั้นก็เป็นการประยุกต์ระบบเกราะของ FFIX มาผสมกับ Junction ของ FFVIII ได้อย่างลงตัว Pictos พวกนี้จะให้ Abilities แซ่บๆ ให้เราไปใช้ อย่างเช่นพลังยิงปืนติดไฟ crit rate เพิ่มตอนโจมตีศัตรูติดไฟ ได้แต้ม AP เพิ่มตอน Perfect Dodge เป็นต้น และยิ่งเข้าช่วงปลายองค์สอง และ late game มันก็จะโกงขึ้น โหดขึ้น ทำให้เราปั่นตัวละครฮาๆ ได้ ใครเป็นสายอยากให้ตี้มีแค่คนเดียว Sandfall ก็จัดให้กับ Solo Pictos หลายๆ อัน ไม่อยากพูดเยอะ ระบบนี้ต้องสัมผัสเองกับมือ แต่จะใบว่ามันมี Picto ที่เรียกตรงๆ เลยว่า Cheater (คนขี้โกง)

Act 3: Everything Else

เรื่องความสวยของเกมคงไม่ต้องพูดเยอะ Expedition 33 ใช้ post processing กลบความมัว texture ภาพหลังกับพื้นเยอะมาก resources มันเลยไปอยู่กะ model ตัวละคร ทำให้ตัวละครทุกตัวออกมาธรรมชาติและสะดุดตามาก

มองดีๆ พื้นกับหญ้ามัน low res เพราะทุกอย่างไปที่ตัวละครหมด เจ๋งมาก

อีกอย่างที่ชอบคือความที่เกมนี้เป็นเกมที่แอบตลก การเขียนเผ่านักสู้ Gestalts ใส่มาในเกมเป็นตัวฮา อารมณ์พวกมึงอยู่รอดมาได้ไง มันตัดเลี่ยนกับความเครียดของเนื้อเรื่องหลักได้ดี หรือจะเป็น mini-game ต่างๆ ที่ไม่รู้จะฮาหรือหัวร้อนดี เพราะมันก็ผสมๆ กัน

อีพวกนี้มันบ้า

และยังมี post-game และ challenge/secret bosses ต่างๆ ให้ตามตบตุ๊บตั๊บ ใครอินระบบ parry ต้องลองไปสู้ดู เห็นในหลายๆ คลิปแล้ว เราคงไม่ไหวจริงๆ 555+ แก่เกินไป

เราว่าตัว world map ดีไซน์ออกมาได้เก๋ ทำให้เห็นภาพเลยว่าถ้า remake FFIX จะออกมาประมาณไหน ส่วนในดัน เกมใช้ subtle hint กับโคมไฟ นำทางเราให้ไปถูก แต่ว่าถ้าไม่เห็น ไม่เป็นไร เพราะเกมนี้ไม่มีคำว่า "หลง" เพราะเดินไปที่ไหนก็จะรู้สึกเจออะไรใหม่ๆ รู้สึกว่าเราไม่เสียเวลา ถึงแม้จะไม่มี minimap ให้ดู

Overworld is beautiful...

ส่วนเรื่องของ collectibles ที่มีทั้งแผ่นเสียงและ Expedition Log ที่เสริมเนื้อเรื่องตัวเกม ก็มีกระจายอยู่ให้หากัน สึ่งแนะนำให้เก็บ Expedition Log จริงๆ มีหลายอันที่บาดใจมาก แต่บางอันมันฮาแท้ๆ

พยายามเก็บให้ครบนะ!

Epilogue: The Final Thoughts

ถึงแม้ว่าเราไม่ได้คิดว่านี่เป็นเกม turn-based ที่ innovative ที่สุด แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าเป็นเกมที่กล้าเล่นใหญ่ และถึงแม้ความทะเยอทะยานอาจจะทำไม่ถึงในบางจุดในความคิดช่าในระบบต่อสู้ และตอนจบที่อาจจะ polarising ต่อผู้เล่นหลายคน แต่ช่าก็โครตจะ appreciate เกมนี้ในสิ่งที่มันเป็น

Sandfall แม่งไปต่อได้อีกยาว

ส่วนกระแสที่เอาเกมนี้ไปกดเกมอื่น เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ เพราะทุกคนในทีม และสตูดิโอนอก รัก JRPG กันมากๆ เล่นแล้วรู้สึกได้เลย อย่าเอาความรักที่เค้าให้ต่อเกมนี้ ไปว่าเกมอื่นเพียงเพราะเกมเหล่านั้นไม่ได้ถูกใจเรา

เราว่าถ้าใครงบน้อย ให้ Xbox Game Pass หากอยากจ่ายบน Steam ด้วยความเป็นเกม AA เกมนี้เลยราคาไม่แพงมาก และได้สนับสนุน Sandfall อีกด้วย เป็นเกมที่ไม่อยากให้พลาดและแนะนำให้ลองซื้อมาเล่นดูค่า


8.5/10


รีวิวอื่นๆ

เพิ่งเล่นจบ #15: Split Fiction

"เกม Co-Op สุดแซ่บ จากผู้กำกับสุดซ่า (ที่แจกรวยบ่อยๆ คนนั้นอะแหละ) จากสตูดิโอผู้สร้างเกม Split Screen ขั้นเทพอย่าง A Way Out กับ It Takes Two มาดูซิว่ารอบนี้พวกเค้าจะทำให้เกมที่สามค่าย Hazelight ขึ้นหิ้งได้อีกเกมไหม!?"

Tasha Strong
Tasha Strong

เพิ่งเล่นจบ #13: South of Midnight

"การเล่าเรื่องแบบง่ายๆ บ้านๆ กับการเอานิทานและตำนานพื้นบ้านของอันสุดจะ gothic ในแถบ America South มาผสมกับ stop motion อย่างเท่ South of Midnight เป็นอีกเกมที่อยากให้เล่นในปีนี้"

Tasha Strong
Tasha Strong